แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8เป็นคู่สัญญาการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 ตามสัญญาคนละฉบับและได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกรแยกต่างหากจากกัน จึงเป็นกรณีที่โจทก์แต่ละคนต่างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้โดยลำพังตนเอง แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่การพิจารณาถึงสิทธิในการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ต้องพิจารณาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง เทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์และต้องดูแลควบคุมให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อยตามระเบียบที่วางไว้จำเลยที่ 1 ได้ออกอาชญาบัตรให้แก่โจทก์ที่ 3 เพื่อฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1และชำแหละเนื้อสุกรนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปตามสัญญาที่ทำไว้ วันเกิดเหตุไม่มีสัตว์แพทย์และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มาตรวจ และตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละเพื่ออนุญาตให้นำออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ โดยสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่มาตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละให้นำออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ10 นาฬิกา ต่อมาเนื้อสุกรชำแหละเน่าเสียหาย จำเลยที่ 1มีหน้าที่ต้องจัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละก่อนที่จะให้โจทก์ที่ 3 นำออกไปจำหน่าย ซึ่งการตรวจจะต้องกระทำภายในช่วงเวลาการฆ่าและชำแหละสุกรคือระหว่างเวลา 00.01 นาฬิกา ถึง 8 นาฬิกา แม้ว่าในสัญญาฆ่าสุกรจะไม่ระบุว่าสัตวแพทย์จะต้องมาทำการตรวจเนื้อสุกรชำแหละเวลาใดก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1จะต้องจัดให้มีสัตวแพทย์มาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าวการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสัตวแพทย์เพิ่มมาตรวจ และ มี การตีประทับตราให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1มิได้จัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการละเลยประมาทเลินเล่ออันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 3 ขณะที่สัตวแพทย์จำเลยที่ 3 ตรวจเนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตีประทับตรานั้นเนื้อสุกรชำแหละยังสามารถจะนำไปจำหน่ายได้แต่ก็เป็นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ซึ่งจะเลิกขายเนื้อสุกรชำแหละแล้ว โดยเริ่มขายตั้งแต่เวลา 2 หรือ 3 นาฬิกาไปจนถึง 10 นาฬิกา หากโจทก์ที่ 3 จะนำเนื้อสุกรชำแหละไปขายก็คงขายได้ไม่มากนัก เพราะใกล้จะหมดเวลาที่ประชาชน จะมาซื้อตามที่เคยปฏิบัติมาเสียแล้ว ดังนั้น ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่ 3 แต่ฝ่ายเดียว เพียงถือได้ว่าโจทก์ที่ 3 มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย โดยไม่นำเนื้อสุกรชำแหละที่ผ่านการตรวจจากจำเลยที่ 3 และตีประทับตราแล้วออกจำหน่าย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถจำหน่ายได้บ้าง ศาลจึงกำหนดให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหาย ที่โจทก์ที่ 3 ได้รับ
ย่อยาว
คดีทั้งห้าสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาคดีโดยให้เรียกโจทก์สำนวนที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3ให้เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนที่ 4 เป็นโจทก์ที่ 4 ที่ 5และให้เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในสำนวนที่ 5 เป็นโจทก์ที่ 6ที่ 7 ที่ 8 ตามลำดับ ส่วนจำเลยทั้งสี่ของทุกสำนวนคงให้เรียกเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งแปดเป็นผู้ขายเนื้อสุกรชำแหละในตลาดเช้าของจำเลยที่ 1 และได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกรที่โรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ถึง8 นาฬิกา ของทุกวัน ยกเว้นวันพระ โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีคณะเทศมนตรีประกอบด้วยนายกเทศมนตรีและเทศมนตรีอีกสองนายเป็นผู้ทำการแทนจำเลยที่ 1 เพื่อควบคุมรับผิดชอบการบริหารกิจการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์และควบคุมการอนุญาตให้ฆ่าสัตว์ในเขตเทศบาล ตลอดจนมีหน้าที่จัดให้มีสัตว์แพทย์และพนักงานเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ด้วยตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 จำเลยที่ 1 เป็นเทศมนตรีรับผิดชอบงานโรงฆ่าสัตว์ มีหน้าที่ออกใบอนุญาตให้ฆ่าสัตว์และควบคุมการฆ่าสัตว์ในนามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นสัตวแพทย์อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตรวจโรคสัตว์หรือเนื้อสัตว์และอนุญาตให้นำเนื้อสัตว์ออกจากโรงฆ่าสัตว์ภายหลังจากการตรวจเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนบริโภคจำเลยที่ 4 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานประจำโรงฆ่าสัตว์ มีหน้าที่ประทับตราอนุญาตที่เนื้อสัตว์เมื่อมีการตรวจโรคสัตว์หรือเนื้อสัตว์แล้ว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2526 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกใบอาชญาบัตรอนุญาตฆ่าสุกรให้โจทก์ที่ 1เพื่อฆ่าสุกร 7 ตัว ให้โจทก์ที่ 2 เพื่อฆ่าสุกร 3 ตัว ให้โจทก์ที่ 3เพื่อฆ่าสุกร 17 ตัว ให้โจทก์ที่ 4 ที่ 5 เพื่อฆ่าสุกร 5 ตัวให้โจทก์ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 เพื่อฆ่าสุกร 17 ตัว โดยจะต้องฆ่าในวันที่ 29 กรกฎาคม 2526 ตามเวลาที่ระบุไว้ โจทก์ทั้งแปดฆ่าสุกรจำนวนที่ได้รับอนุญาตเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ส่งจำเลยที่ 3 ที่ 4 มาปฏิบัติหน้าที่และมิได้มอบหมายให้บุคคลใดมาทำหน้าที่แทนและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ก็มิได้มาตรวจสอบและประทับตราอนุญาตเนื้อสุกรที่พวกโจทก์ทั้งแปดชำแหละแล้วว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายให้ประชาชนบริโภคได้หรือไม่ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งแปดไม่สามารถนำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ไปจำหน่ายให้ลูกค้าได้ทันเวลาตามปกติ เนื่องจากต้องห้ามตามสัญญาการฆ่าสัตว์ระหว่างโจทก์ทั้งแปดกับจำเลยที่ 1 และต้องห้ามตามกฎหมาย จำเลยที่ 2ทราบเหตุความเดือดร้อนของโจทก์ทั้งแปดแล้วแต่กลับเพิกเฉยจงใจไม่กระทำการตามหน้าที่เพื่อปัดป้องภัยที่จะเกิดแก่โจทก์ทั้งแปดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งแปดได้รับความเสียหายการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจโดยรู้ว่าจะทำให้โจทก์ทั้งแปดเสียหาย อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งแปด เพราะโจทก์ทั้งแปดไม่สามารถนำเนื้อสุกรชำแหละไปจำหน่ายที่ตลาดเช้าได้ทันเวลาและเนื้อสุกรชำแหละของโจทก์ทั้งแปดเน่าเสียหายไม่สามารถนำออกจำหน่ายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2526ได้ทั้งหมด โจทก์ที่ 1 เสียหายดังนี้คือ เนื้อสุกรชำแหละ 7 ตัว ราคา26,530 บาท ค่าธรรมเนียมใบอาชญาบัตรค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่าย748 บาท ค่ากำไรจากการขายเนื้อสุกรชำแหละตัวละ 400 บาท 7 ตัวรวม 2,800 บาท รวมทั้งสิ้น 30,078 บาท โจทก์ที่ 2 เสียหายดังนี้คือเนื้อสุกรชำแหละ 3 ตัว ราคา 13,300 บาท ค่าธรรมเนียมใบอาชญาบัตรค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่าย 348 บาท ค่ากำไรจากการขายเนื้อสุกรชำแหละตัวละ 400 บาท 3 ตัว รวม 1,200 บาท รวมทั้งสิ้น 14,848 บาทโจทก์ที่ 3 เสียหายดังนี้คือ เนื้อสุกรชำแหละ 17 ตัว ราคา 76,510บาท ค่าธรรมเนียมใบอาชญาบัตรค่าภาษีและค่าใช้จ่าย 1,748 บาทค่ากำไรจากการขายเนื้อสุกรชำแหละตัวละ 400 บาท 17 ตัว รวม 6,800 บาท รวมทั้งสิ้น 85,058 บาท โจทก์ที่ 4 ที่ 5 เสียหายดังนี้คือเนื้อสุกรชำแหละ 5 ตัว ราคา 20,055 บาท ค่าธรรมเนียมใบอาชญาบัตรค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่าย 740 บาท ค่ากำไรจากการขายเนื้อสุกรชำแหละตัวละ 400 บาท 5 ตัว รวม 2,000 บาท รวมทั้งสิ้น 22,795 บาทโจทก์ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 เสียหายดังนี้คือ เนื้อสุกรชำแหละ 17 ตัวราคา 80,430 บาท ค่าธรรมเนียมใบอาชญาบัตรค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่าย2,516 บาท ค่ากำไรจากการขายเนื้อสุกรชำแหละตัวละ 400 บาท 17 ตัวรวม 6,800 บาท รวมทั้งสิ้น 89,746 บาท และจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งแปด คิดเป็นดอกเบี้ยของโจทก์ที่ 1 จำนวน 1,557 บาท ของโจทก์ที่ 2 จำนวน 76,850 บาท ของโจทก์ที่ 3 จำนวน 4,419 บาท ของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 จำนวน 1,690 บาท ของโจทก์ที่ 6ถึงโจทก์ที่ 8 จำนวน 6,657 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 31,635 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 15,616 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 89,549 บาท โจทก์ที่ 4 ที่ 5 จำนวน 24,485 บาท โจทก์ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 จำนวน 96,403 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแต่ละสำนวนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทั้งห้าสำนวนให้การเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตโดยมอบหมายให้จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่สัตวแพทย์ประจำโรงฆ่าสัตว์เป็นการชั่วคราว และจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ประทับตราอนุญาตเมื่อสัตวแพทย์ตรวจเสร็จแล้ว จำเลยที่ 3 ที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายด้วยดีตลอดมา ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไปปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว แต่โจทก์ทั้งแปดที่นำสุกรมาฆ่าในโรงฆ่าสัตว์ในวันเกิดเหตุทั้งหมดจำนวน 53 ตัวกลับพร้อมใจกันไม่ยอมนำสุกรที่ประทับตราแล้วออกไปจากโรงฆ่าสัตว์เองจนเนื้อสุกรเน่าเหม็น ไม่อาจใช้บริโภคได้ จำเลยที่ 3 ในฐานะสัตวแพทย์จึงต้องทำรายงานเสนอทำลายซากสุกรทั้ง 53 ตัว ถ้าหากโจทก์ทั้งแปดมิได้มีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อเองแล้ว โจทก์ทั้งแปดย่อมจะนำเนื้อสุกรไปขายได้ทันเวลา จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายและดอกเบี้ยต่อโจทก์ทั้งแปดเพราะเป็นการกระทำของพวกโจทก์ เองที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำเอาเนื้อสุกรชำแหละออกจำหน่าย คงปล่อยทิ้งไว้จนเน่าเหม็น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์ที่ 1 จำนวน12,386 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 6,094 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน34,878 บาท โจทก์ที่ 4 ที่ 5 จำนวน 9,392 บาท โจทก์ที่ 6 ที่ 7ที่ 8 จำนวน 36,830 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวแต่ละจำนวนนับตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2526เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องนายแพทย์นิคม ศิริไชยในฐานะส่วนตัว ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 โจทก์ที่ 1 ที่ 3ถึงที่ 8 และจำเลยที่ 1 ทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 4 ที่ 5 (คดีสำนวนที่ 4) และของจำเลยที่ 1ในคดีสำนวนที่ 2 และที่ 4 จำนวนที่ 1 ทั้งห้าสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งแปด แต่สำหรับโจทก์ที่ 2 นั้นในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ดังนี้คดีของโจทก์ที่ 2จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ส่วนคดีของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 นั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 กับจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คดีของโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 สำหรับคดีของโจทก์ที่ 1 นั้น โจทก์ที่ 1 เรียกร้องค่าเสียหายมาไม่เกินห้าหมื่นบาท ส่วนโจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 เป็นคู่สัญญาการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาคนละฉบับและได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกรแยกต่างหากจากกันกล่าวคือ โจทก์ที่ 6 ได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกร 7 ตัว โจทก์ที่ 7 ได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกร 6 ตัว และโจทก์ที่ 8 ได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกร 4 ตัว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ แต่ละคนต่างก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้โดยลำพังตนเอง แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องคดีรวมกันมาเป็นคดีเดียวกันโดยเห็นว่าเป็นความสะดวก แต่การพิจารณาถึงสิทธิในการฎีกาต้องพิจารณาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง การฟ้องคดีรวมกันหรือแยกกันย่อมไม่มีผลทำให้สิทธิในการฎีกาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อปรากฏว่าค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 แต่ละคนเรียกร้องมาไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 ควบคุมดูแลและปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนตามระเบียบแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้จงใจละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของฝ่ายโจทก์นั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 อีกเช่นกัน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 3เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการเป็นผู้สั่งจำเลยที่ 3ให้ไปทำหน้าที่ตรวจเนื้อสุกรชำแหละตามระเบียบที่จำเลยที่ 1 กำหนดถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลและปฏิบัติครบถ้วนตามระเบียบแล้ว การที่จำเลยที่ 3 ไปปฏิบัติราชการที่อื่นตามคำสั่งของปศุสัตว์จังหวัดนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ทราบจึงไม่ได้สั่งให้สัตวแพทย์นายอื่นไปทำการแทน ไม่เป็นการจงใจละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่กับอ้างว่าที่เนื้อสุกรชำแหละของโจทก์ที่ 3 เน่าเสียหายนั้นเป็นเพราะโจทก์ที่ 3 ไม่นำเนื้อสุกรชำแหละออกไปจำหน่ายเอง และโจทก์ที่ 3 กับพวกเหนี่ยว รั้งไม่ให้จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ตรวจเนื้อสุกรชำแหละเป็นความผิดของโจทก์ที่ 3 เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์และต้องดูแลควบคุมให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อยตามระเบียบที่วางไว้ จำเลยที่ 1 ได้ออกอาชญาบัตรให้แก่โจทก์ที่ 3เพื่อฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1 และชำแหละเนื้อสุกรนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปตามสัญญาที่ทำไว้ วันเกิดเหตุไม่มีสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มาตรวจ และตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละเพื่ออนุญาตให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ โดยสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่มาตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละให้นำออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ต่อมาเนื้อสุกรชำแหละของโจทก์ที่ 3 เน่าเสียหายจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องจัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละก่อนที่จะให้โจทก์ที่ 3 นำออกไปจำหน่ายแก่ประชาชน ทั้งนี้การตรวจเนื้อสุกรชำแหละดังกล่าวจะต้องกระทำภายในช่วงเวลาการฆ่าและชำแหละสุกรซึ่งโจทก์ที่ 3นำสืบและจำเลยที่ 1 เบิกความรับฟังได้ว่าคือระหว่างเวลา00.01 นาฬิกา ถึง 8 นาฬิกา แม้ว่าในสัญญาฆ่าสุกรจะไม่ระบุว่าสัตวแพทย์จะต้องมาทำการตรวจเนื้อสุกรชำแหละเวลากี่นาฬิกาก็ตามแต่ก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องจัดให้มีสัตวแพทย์มาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าว การที่จำเลยที่ 3 เพิ่งมาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละและมีการตีประทับตราให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 มิได้จัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการละเลยประมาทเลินเล่อ อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 3ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เหตุที่จำเลยที่ 3 มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละช้าเป็นเพราะปศุสัตว์จังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 3โดยตรง สั่งให้จำเลยที่ 3 ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคสัตว์ที่ด่านกักสัตว์ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง ตามเอกสารหมาย ล.5โดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบมาก่อนจึงไม่ได้จัดส่งสัตว์แพทย์อื่นไปปฏิบัติหน้าที่แทนนั้นก็ไม่ใช่ข้อที่จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นอ้างให้พ้นความรับผิดได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโจทก์ที่ 3 ไม่นำเนื้อสุกรชำแหละออกไปจำหน่ายเองนั้น เห็นว่าแม้จะฟังได้ว่าขณะที่จำเลยที่ 3 ตรวจเนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตีประทับตรานั้น เนื้อสุกรชำแหละยังสามารถจะนำไปจำหน่ายได้ก็ตาม แต่ขณะนั้นก็เป็นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ซึ่งโจทก์นำสืบว่าเป็นเวลาที่จะเลิกขายเนื้อสุกรชำแหละแล้ว โดยเริ่มขายตั้งแต่เวลา 2 นาฬิกา หรือ 3 นาฬิกา ไปจนถึง 10 นาฬิกา หากโจทก์ที่ 3 จะนำเนื้อสุกรชำแหละไปขายก็คงขายได้ไม่มากนักเพราะใกล้จะหมดเวลาที่ประชาชนจะมาซื้อตามที่เคยปฏิบัติมาเสียแล้วดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่ 3แต่ฝ่ายเดียวดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง เพียงถือได้ว่า โจทก์ที่ 3มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วยส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ขณะจำเลยที่ 3 ตรวจเนื้อสุกรชำแหละโจทก์ที่ 3 กับพวกเหนี่ยว รั้งไม่ให้จำเลยที่ 3 ทำงานนั้น ก็ได้ความจากจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ไปตรวจเนื้อสุกรชำแหละเมื่อเวลา7 นาฬิกาเศษ โจทก์ที่ 3 กับพวกได้พูดจาเหนี่ยวรั้งไม่ให้ทำงานได้ต่อมาพวกของโจทก์ที่ 3 มาบอกว่าหัวหน้างานของจำเลยที่ 3 มารอพบที่ท่าน้ำ จำเลยที่ 3 รีบไปที่ท่าน้ำแต่กลับพบพวกของโจทก์ที่ 3พูดจาเหนี่ยวรั้งจะเวลา 9 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 3 จึงกลับไปทำงานต่อเห็นได้ว่าลำพังเพียงพวกของโจทก์พูดจาเหนี่ยวรั้งไม่ให้จำเลยที่ 3ทำงาน ย่อมไม่มีผลโดยตรงที่จะทำให้จำเลยที่ 3 ทำงานไม่ได้หากจำเลยที่ 3 ตั้งใจจะทำงานตามหน้าที่ให้เสร็จไปโดยเร็ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ในเรื่องนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่เนื้อสุกรชำแหละเน่าเสียหายนั้นเกิดจากจำเลยที่ 1 ไม่จัดหาสัตว์แพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละภายในเวลาที่จะต้องตรวจซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 3 ก็มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายโดยไม่นำเนื้อสุกรชำแหละที่ผ่านการตรวจจากจำเลยที่ 3 และตีประทับตราแล้วออกจำหน่าย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถจำหน่ายได้บ้าง ซึ่งจะเป็นการบรรเทาความเสียหายให้ลดน้อยลงได้อีกประการหนึ่ง ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 3 ได้รับนั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว”
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1 สำหรับโจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 5 โจทก์ที่ 6 โจทก์ที่ 7 และโจทก์ที่ 8