คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลยที่ 2 มีที่ดินและบ้านจำนองเป็นประกันระเบียบของจำเลยที่ 2 กำหนดให้โจทก์เอาประกันบ้านดังกล่าวโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประโยชน์ในการประกันภัยผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 และพนักงานเป็นผู้เตรียมแบบพิมพ์เอกสาร ทำสัญญาประกันภัยกับชำระเบี้ยประกันภัยที่สำนักงานสาขาจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 เมื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 1 ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยให้สาขาจำเลยที่ 2 สาขาจำเลยที่ 2 จะส่งเฉพาะใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ ส่วนกรมธรรม์ประกันภัยสาขาจำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บไว้เอง เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยจะหมดอายุ สาขาจำเลยที่ 2ก็เป็นผู้แจ้งเตือนให้โจทก์ต่ออายุสัญญาประกันภัย พฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการรับประกันภัยบ้านโจทก์ที่จำนองไว้เป็นประกันกับจำเลยที่ 2
แม้ตัวแทนจำเลยที่ 1 จะรับเบี้ยประกันภัยเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัย เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยขาดอายุแล้วก็ตาม แต่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ก็ยินยอมให้โจทก์ผัดชำระเบี้ยประกันภัยได้ และในกรณีเช่นนี้ตามปกติแล้วเมื่อตัวแทนจำเลยที่ 1 ติดต่อไปยังจำเลยที่ 1ทางจำเลยที่ 1 ก็ต่ออายุสัญญาให้ ถือว่าคู่สัญญามีเจตนาต่ออายุสัญญาประกันภัยให้มีผลผูกพันต่อไปอีก 1 ปี ตามเงื่อนไขเดิม
กฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งสัญญาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน
มีระเบียบของจำเลยที่ 2 กำหนดให้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 การที่ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองกับจำเลยที่ 1 ย่อมมีผลให้จำเลยที่ 2 ได้หลักประกันที่มั่นคงยิ่งขึ้น ถือไม่ได้ว่าผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 หรือนอกเหนือขอบอำนาจที่จำเลยที่ 2 มอบให้ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 กระทำแทน
ในการเอาประกันภัยจำเลยที่ 2 ได้มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 2 ได้เอาประกันภัยบ้านของโจทก์ที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โดยมีผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้ตั้งแต่ให้โจทก์กรอกแบบคำเสนอขอเอาประกันภัย รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ไปชำระให้จำเลยที่ 1 รับกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยจากจำเลยที่ 1 มาให้โจทก์ ลักษณะการกระทำของผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ในการติดต่อทำนิติกรรมประกันภัยกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนแม้จะประมาทเลินเล่อไม่ส่งเบี้ยประกันภัยในเวลาอันสมควรให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ในฐานะตัวการย่อมไม่ได้รับความเสียหายเพราะความเสียหายได้หมดไปโดยโจทก์ย่อมบังคับเอาจากจำเลยที่ 1ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย จำเลยที่ ๒ ประกอบกิจการธนาคาร โจทก์ทั้งสองจำนองที่ดินและบ้านเป็นประกันหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ ๒ ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ ๒ ที่อำเภอสัตหีบและได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับจำเลยที่ ๑ ตามเงื่อนไขที่จำเลยที่ ๒ กำหนด เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน๒๕๒๖ ในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑ ปี โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑เป็นผู้รับดำเนินการประกันภัย โจทก์จ่ายเบี้ยประกันภัยที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ ๒ เมื่อการประกันภัยหมดอายุลง โจทก์ได้นำเบี้ยประกันภัยสำหรับปีต่อไปไปชำระแก่จำเลยที่ ๒ ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ ๒ เพื่อต่ออายุการประกันภัยเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ การที่จำเลยที่ ๑เป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ ๒ ยอมให้จำเลยที่ ๒ รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ และยอมรับรองผลการกระทำของจำเลยที่ ๒ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๒ รับเอาเบี้ยประกันภัยสำหรับ พ.ศ.๒๕๒๗ ต่อเนื่อง พ.ศ.๒๕๒๘ แล้ว สัญญาประกันย่อมเกิดขึ้นและผูกพันจำเลยที่ ๑ ขณะเดียวกันการที่จำเลยที่ ๒ รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์เพื่อส่งให้แก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ได้เกิดเพลิงไหม้บ้านที่โจทก์เอาประกันอัคคีภัยไว้หมดทั้งหลัง ค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ หากจะฟังว่าสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังไม่เกิดและไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ ๒ ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ในฐานะตัวแทนของโจทก์กระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ละเลยไม่รีบจัดส่งเบี้ยประกันภัยที่ได้รับไว้ไปให้จำเลยที่ ๑ โดยเร็ว โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าเสียหายถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๔๗๙,๔๓๙.๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหายภายหลังจากกรมธรรม์ประกันภัยหมดอายุแล้ว จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ หากจำเลยที่ ๒รับเบี้ยประกันภัยไว้ก็ไม่ทำให้เกิดสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ มิได้มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยหรือเป็นตัวแทนรับประกันภัย โจทก์เอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยระบุจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประโยชน์โดยต้องการให้จำเลยที่ ๒ ยอมให้เบิกเงินเกินบัญชีโดยมีหลักประกันการชำระหนี้ที่มั่นคงขึ้น จำเลยที่ ๒ มิได้กำหนดเงื่อนไขให้ต้องประกันอัคคีภัยกับจำเลยที่ ๑ โดยเฉพาะ จำเลยที่ ๒ ไม่มีหน้าที่ใด ๆ ในการติดต่อหรือรับเงินเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ ๑ หรือโจทก์ จำเลยที่ ๒ มอบอำนาจผู้จัดการสาขาสัตหีบกระทำการแทนเฉพาะกิจการอันอยู่ในวัตถุประสงค์เท่านั้น การที่ผู้จัดการสาขาสัตหีบรับมอบเงินเบี้ยประกันภัยไว้ก็เป็นการกระทำเป็นส่วนตัวนอกเหนืออำนาจที่จำเลยที่ ๒ มอบไว้ จำเลยที่ ๒ไม่เคยรับรองหรือให้สัตยาบัน ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดหรือความประมาทของโจทก์ที่ไม่มอบเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ ๑ ด้วยตนเอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ ๑
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ความว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบโดยนำที่ดินและบ้านจำนองเป็นประกันไว้กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งตามระเบียบจำเลยที่ ๒ นั้นให้โจทก์ทั้งสองเอาประกันภัยบ้านดังกล่าวไว้เพื่อให้หลักประกันมั่นคงโดยต้องให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์ทั้งสองยินยอมตกลงปฏิบัติตามเงื่อนไขของจำเลยที่ ๒ในการที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบโดยจำนองที่ดินและบ้านเป็นประกันต้องปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยที่ ๒ กล่าวคือต้องเอาประกันภัยบ้านที่จำนองนั้นด้วยโดยระบุให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประโยชน์ ในการประกันภัยดังกล่าวนั้นทางจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบรับเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ ให้แทนทั้งฝ่ายโจทก์ทั้งสองและฝ่ายบริษัทผู้รับประกันภัย คือจำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องมาติดต่อกับโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยโดยตรง เพราะจำเลยที่ ๒สาขาสัตหีบดำเนินการแทนให้ทุกประการ ตั้งแต่การตกลงให้โจทก์ทั้งสองเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยและรับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ทั้งสอง แล้วส่งให้จำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ รับเบี้ยประกันภัยแล้วได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยส่งมายังจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบเพื่อส่งมอบให้แก่โจทก์ทั้งสอง เป็นต้น พฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ในการรับประกันภัยบ้านโจทก์ทั้งสองที่จำนองเป็นประกันไว้กับจำเลยที่ ๒ที่จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ นั้น ขัดกับการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ปฏิบัติต่อกันและต่อโจทก์ดังกล่าวข้างต้น ไม่มีน้ำหนักรับฟัง ในกรณีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ปัญหาต่อไปมีว่า เมื่อสัญญาประกันภัยหมดอายุสัญญา๑ ปี แล้วจำเลยที่ ๒ รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ทั้งสองเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัยปีต่อไป แต่จำเลยที่ ๒ ยังไม่ทันส่งเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยที่ ๑ ก็เกิดอัคคีภัยแก่บ้านที่เอาประกันเสียก่อนจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ ได้รับประกันภัยบ้านของโจทก์ทั้งสองไว้แล้วมีกำหนด ๑ ปี จะครบกำหนด ๑ ปี ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๗ ก่อนจะครบกำหนดสัญญาปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ผู้รับประกันภัยได้มีหนังสือแจ้งเตือนตามเอกสารหมายจ.๑๐ ส่งให้แก่จำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบ ซึ่งเป็นตัวแทนเพื่อส่งให้แก่โจทก์ทั้งสองทราบ โจทก์ทั้งสองขอผัดชำระต่อนายภัทรชัย นายภัทรชัยก็ตกลง โจทก์ทั้งสองได้ชำระเบี้ยประกันภัยสำหรับ ๑ ปีถัดไปให้แก่นายภัทรชัยในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และนายภัทรชัยเบิกความยอมรับด้วยว่าเหตุที่รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ไว้เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ทั้งที่กรมธรรม์ประกันภัยขาดอายุแล้วก็เพราะเห็นว่า ตามปกติแล้วในกรณีเช่นนี้เมื่อติดต่อไปยังบริษัทรับประกันภัย ทางบริษัทก็รับต่ออายุให้โดยไม่มีปัญหา แสดงว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งมีผลประโยชน์ในกิจการเกี่ยวข้องกันมีความเข้าใจและทราบทางปฏิบัติของกันและกันดี จำเลยที่ ๒ โดยนายภัทรชัยจึงย่อมทราบขอบเขตแห่งหน้าที่ของตัวแทนกรณีการต่ออายุสัญญาประกันภัยดีอยู่แล้ว นายภัทรชัยเห็นว่ากรณีของโจทก์ทั้งสองนั้นก็เหมือนกับรายอื่น ๆ ที่จำเลยที่ ๑ ต่ออายุสัญญาประกันภัยให้โดยไม่มีปัญหา นายภัทรชัยจึงรับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ทั้งสองไว้ เห็นได้ว่า คู่สัญญามีเจตนาต่ออายุสัญญาประกันภัยให้มีผลบังคับใช้ผูกพันต่อกันต่อไปอีก ๑ ปี เมื่อโจทก์ทั้งสองผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยแก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว ต้องถือว่ามีการตกลงต่ออายุสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ แล้วตามเงื่อนไขเดิมที่ได้เคยตกลงกันมาแล้วในรอบ ๑ ปีแรกนั่นเอง แม้จำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ จะยังไม่ได้ส่งเงินเบี้ยประกันภัยไปให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครก็ตาม ก็เป็นเรื่องภายในของตัวการกับตัวแทนที่ปฏิบัติต่อกันไม่เกี่ยวกับโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและกฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งนิติกรรมสัญญาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน ดังนี้ถือได้ว่า สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๑ได้เกิดขึ้นและมีผลผูกพันกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หลังจากนั้นต่อมาเมื่อเกิดอัคคีภัยแก่บ้านของโจทก์ทั้งสองที่เอาประกันภัยไว้นั้นในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า นายภัทรชัย สุรพฤกษ์ ผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบ ทำการนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ นอกเหนือขอบอำนาจที่จำเลยที่ ๒ มอบหมายให้กระทำการแทน และเป็นการกระทำไปเพื่อช่วยเหลือโจทก์ทั้งสองด้วยอัธยาศัยไมตรี ไม่มีลักษณะเป็นตัวแทนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าหนี้กำหนดให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกหนี้เอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองกับจำเลยที่ ๒ ย่อมมีผลให้จำเลยที่ ๒ ได้หลักประกันที่มีความมั่นคงยิ่งขึ้นการที่นายภัทรชัยซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารของจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบ คอยดูแลจัดการให้โจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยที่ ๒ ในการต้องเอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ หรือนอกเหนือขอบอำนาจที่จำเลยที่ ๒มอบหมายให้กระทำแทน นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ทั้งสอง และนายภัทรชัยตรงกันว่า ที่โจทก์ทั้งสองต้องเอาประกันภัยบ้านที่จำนองแก่จำเลยที่ ๒ ก็เพราะระเบียบของจำเลยที่ ๒ กำหนดไว้เช่นนั้น โดยให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประโยชน์ถ้าหากเกิดวินาศภัยแก่บ้านดังกล่าว ในการดำเนินการเอาประกันภัยนั้น จำเลยที่ ๒ ได้มีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับประกันภัยให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ ๒ ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงยินยอมตกลงเอาประกันภัยบ้านของตนไว้กับจำเลยที่ ๑ โดยนายภัทรชัยรับดำเนินการให้ทุกขั้นตอนนับแต่ให้โจทก์ทั้งสองกรอกแบบคำเสนอขอเอาประกันภัย รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ทั้งสองไปชำระให้จำเลยที่ ๑ รับเอากรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยจากจำเลยที่ ๑ มาให้โจทก์ทั้งสอง ลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยที่ ๒ สาขาสัตหีบ โดยนายภัทรชัยดังกล่าวกับโจทก์ทั้งสองเช่นนี้มีลักษณะแสดงว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ทั้งสองในการติดต่อทำนิติกรรมประกันภัยกับจำเลยที่ ๑ด้วย อย่างไรก็ดีแม้จะฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว แต่เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาข้างต้นให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองแล้ว จำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนถึงแม้ประมาทเลินเล่อไม่ได้ส่งเบี้ยประกันภัยในเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๒ ก็ตาม โจทก์ทั้งสองในฐานะตัวการย่อมไม่ได้รับความเสียหายเพราะความเสียหายได้หมดไปโดยโจทก์ทั้งสองย่อมบังคับเอาจากจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองต่อไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒.

Share