คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2416/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรในนามของทางการทหารสหรัฐอเมริกา แม้จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียอากรตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแต่ถ้าปรากฏว่าเมื่อนำเข้ามาแล้ว มิได้นำไปใช้ในทางการทหารของสหรัฐอเมริกา หากแต่ไปตกอยู่แก่บุคคลภายนอกของนั้นย่อม ไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรเมื่อของมาตกอยู่ในครอบครองของจำเลย โดยยังมิได้มีการเสียอากร ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คน ได้บังอาจร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต่าง ๆ รวมราคา ๓๓๘,๔๕๕ บาท ซึ่งจะต้องเสียอากรเป็นเงิน ๖๑,๐๙๖.๘๕ บาท โดยจำเลยกับพวกรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และของดังกล่าวนั้นเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้เสียอากรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิ(ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับและเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า วัสดุภัณฑ์ของกลางเป็นของที่กองทัพสหรัฐอเมริกานำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ต้องเสียอากรตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ต่อมาของกลางตกมาเป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีสิทธิจะได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรพระราชบัญญัติพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘มาตรา ๖ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้โอนเป็นผู้เสียอากร จำเลยที่ ๑ซึ่งเป็นผู้รับโอน ไม่มีหน้าที่ต้องเสียอากร จึงไม่มีความผิด ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับของกลางรายนี้ จึงไม่มีความผิดเช่นกัน พิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับโอนมีหน้าที่เป็นผู้เสียภาษีอากรและพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับของกลางไว้โดยมีเจตนาทุจริตช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ซื้อ หรือรับไว้โดยรู้ว่าของนี้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดที่จะต้องเสียอากรพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙มาตรา ๒๗ ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔พระราชบัญญัติพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปีของกลางริบ ให้จ่ายสินบนและรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๘ คือจ่ายสินบนให้ผู้นำจับร้อยละสามสิบของราคาของกลางและจ่ายรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ผู้จับร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางนอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ของกลางรายนี้เป็นของที่ทางทหารของสหรัฐอเมริกานำจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากร ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแต่ถ้าของกลางรายนี้แม้จะนำเข้าในนามของทางการทหารสหรัฐอเมริกาถ้าปรากฏว่าเมื่อนำเข้ามาแล้วมิได้นำไปใช้ในทางการทหารของสหรัฐอเมริกาหากแต่ไปตกอยู่แก่บุคคลภายนอกของเหล่านี้ย่อมไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากร ฉะนั้น เมื่อของกลางรายนี้มาตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยโดยมิได้มีการเสียอากรจึงได้ชื่อว่าของกลางเหล่านี้เป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร
จำเลยรับของกลางรายนี้ไว้ และนำไปเก็บไว้ในสวนซึ่งอยู่ห่างจากถนนครึ่งกิโลเมตร ในสภาพซุกซ่อน คนผ่านไปมามองไม่เห็นของเป็นของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้และไม่มีรอยตราหรือรอยเครื่องหมายที่แสดงว่าได้เสียอากรแล้วเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐดูของกลางแล้ว ยืนยันว่าเป็นของที่ถูกลักจากค่ายทหารสหรัฐที่สัตหีบ จำเลยที่ ๑ รับต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมว่าเป็นของที่จำเลยที่ ๑ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และรับชั้นสอบสวนว่าได้ซื้อของกลางรายนี้จากคนขับรถ ร.ส.พ. คนหนึ่งไม่ทราบชื่อสองครั้งครั้งแรกซื้อราคา ๑๘,๐๐๐ บาท ครั้งที่สองซื้อ ๒๗,๐๐๐ บาท ซื้อแล้วก็นำไปเก็บไว้ในโกดังโรงสูบน้ำในสวนทั้งสองครั้ง ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการรับของกลางรายนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรดังโจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วพิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ ๑

Share