คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง เพราะเหตุโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินในขณะที่ยังไม่พ้นระยะเวลา 60 วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยเริ่มจะต้องมีความรับผิดต่อโจทก์ ปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลา 60วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยมีต่อโจทก์ โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จาก อ. โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันหนี้ อ.มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันการหาเงินชำระหนี้ของ อ.จะมีผลใช้บังคับเมื่ออ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน เมื่อครบกำหนด 60 วัน อ.หาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คที่ออกค้ำประกัน อ.ทันที ส่วนโจทก์จะใช้สิทธินำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินเมื่อใดก็เป็นสิทธิของโจทก์แม้จะเป็นระยะเวลาเกิน 6 เดือน นับแต่ อ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน จำเลยก็ยังต้องมีความผูกพันชำระหนี้ตามเช็คค้ำประกันอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค โดยมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้โจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินที่ธนาคารตามเช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 202,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่15213/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์กับจำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยมีข้อตกลงค้ำประกันนายอัศวินต่อโจทก์เพียง 60 วัน นับแต่วันที่ 22พฤศจิกายน 2528 ซึ่งเป็นวันทำคำยินยอมดังกล่าวเป็นต้นไป เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินเกินกำหนด 60 วัน ถือว่าโจทก์ผ่อนเวลาการชำระหนี้แก่นายอัศวินโดยจำเลยไม่ตกลงยินยอม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดและโจทก์นำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารเมื่อพ้นระยะเวลา 6 เดือน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 202,500บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาจำเลยประเด็นแรกที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15213/2529ของศาลชั้นต้นหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีเดิมดังกล่าว ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินในวันที่ 16 ธันวาคม 2528 ในขณะที่ยังไม่พ้นระยะเวลา 60 วันตามข้อตกลงที่จำเลยเริ่มจะต้องมีความรับผิดต่อโจทก์ คำพิพากษาคดีเดิมจึงยังไม่มีการก้าวล่วงไปวินิจฉัยถึงประเด็นแห่งคดี ปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลา 60 วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยมีต่อโจทก์ โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จากนายอัศวิน จำเลยผู้ออกเช็คค้ำประกันจึงมีความรับผิดต่อโจทก์ตามข้อตกลง โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันหนี้นายอัศวินมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามความหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
สำหรับประเด็นข้อสุดท้ายที่ว่า จำเลยจะรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์เพียงใด ปัญหานี้จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเกินกำหนด 6 เดือน ทั้งที่จำเลยออกเช็คค้ำประกันในการหาเงินชำระหนี้โจทก์ของนายอัศวินเพียง 60 วัน เท่านั้นเห็นว่า ตามบันทึกใบรับคำยินยอมเอกสารหมาย ล.2 เช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันการหาเงินชำระหนี้ของนายอัศวิน จะมีผลใช้บังคับเมื่อนายอัศวินไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน60 วัน เมื่อครบกำหนด 60 วัน นายอัศวินหาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คที่ออกค้ำประกันนายอัศวินทันที ส่วนโจทก์จะใช้สิทธินำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินเมื่อใด ก็เป็นสิทธิของโจทก์แม้จะเป็นระยะเวลาเกิน 6 เดือนนับแต่นายอัศวินไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วันจำเลยก็ยังต้องมีความผูกพันชำระหนี้ตามเช็คค้ำประกันอยู่ การที่โจทก์เคยผิดข้อตกลงนำเช็คไปเรียกเก็บเงินก่อนครบกำหนด 60 วันตามบันทึกรับคำยินยอมก็ตาม ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ความรับผิดตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้ออกค้ำประกันนายอัศวินระงับสิ้นลง
พิพากษายืน

Share