คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นความเท็จ ทำให้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญา แม้ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137เป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งปกติรัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรงก็ตามแต่โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจากการร้องทุกข์ของจำเลยซึ่งเป็นเท็จ โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในข้อหาดังกล่าวและมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกสามชัย นนทนาคร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลพบุรีว่า โจทก์ได้ลักทรัพย์ของจำเลย และจำเลยเป็นผู้ลงทุนซื้อวัสดุเครื่องก่อสร้างรวมทั้งเครื่องมือในการก่อสร้างหมู่บ้านเขาพระงามวิลเลจ ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้ลักทรัพย์ของจำเลย และโจทก์เป็นผู้รับจ้างเหมาก่อสร้างรวมค่าวัสดุค่าแรงงานในการก่อสร้างหมู่บ้านเขาพระงามวิลเลจให้แก่จำเลยจำนวน 12 ห้อง การแจ้งความเท็จของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ร้อยตำรวจเอกสามชัย นนทนาคร ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137ให้จำคุก 6 เดือน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้สั่งซื้อวัสดุในการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน 12 คูหา ตามโครงการเขาพระงามวิลเลจเอง เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกสามชัย นนทนาครพนักงานสอบสวน กล่าวหาว่าโจทก์กับพวกลักวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นของโจทก์ มิใช่ของจำเลย จึงเป็นการแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 แต่ความผิดตามมาตรานี้เจ้าพนักงานเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์มิใช่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้ส่วนจำเลยแก้อุทธรณ์ว่าทรัพย์ที่โจทก์เอาไปเป็นของจำเลยและยังเป็นที่สงสัยว่า เป็นทรัพย์ของโจทก์ หรือทรัพย์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าทรัพย์เป็นของโจทก์
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ ในข้อนี้ จำเลยโต้แย้งว่าข้อหาแจ้งความเท็จตามคำฟ้องเป็นความผิดที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานซึ่งเจ้าพนักงานเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ลักทรัพย์จำเลย ซึ่งเป็นความเท็จ ทำให้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาแม้คำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยระบุมาตรา 137 อันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานซึ่งปกติรัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรงก็ตาม แต่กรณีนี้โจทก์อ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จากการร้องทุกข์ของจำเลยซึ่งเป็นเท็จ โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในข้อหาความผิดฐานแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานและมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share