คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3739/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ถูกอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (อัยการจังหวัดมหาสารคาม) ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดมหาสารคาม) ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ และไม่หยุดช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฯ มาตรา 160 วรรคแรก ส่วนข้อหาขับรถโดยประมาทยกฟ้อง คดีถึงที่สุด ดังนั้นปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บในคดีอาญาหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาของศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดมหาสารคาม) ซึ่งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(8) โดยอัยการได้ฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 แม้โจทก์ที่ 2 จะมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว แต่โจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 และไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ที่ 2 อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ด้วยส่วนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุนั้น ในคดีอาญามิใช่เป็นผู้บาดเจ็บจากการที่รถชนกัน และมิใช่อยู่ในฐานะผู้เสียหายโดยการจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 5(2) และมิใช่เป็นคู่ความเดียวกัน ผลของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ที่ 1 ในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงใหม่.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้โดยสารในรถดังกล่าว วันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทล้ำเข้ามาในเส้นทางเดินรถของโจทก์ที่ ๑ เป็นเหตุให้ชนกับรถคันของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหาย ผู้ขับถึงแก่ความตาย และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งโดยสารมาได้รับบาดเจ็บ รถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายใช้การไม่ได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งขับในทางการที่จ้างของโจทก์ที่ ๑ เจ้าของรถ จำเลยทั้งสองจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ที่ ๑ ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ที่ ๑ ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ หลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานและไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ถูกอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (อัยการจังหวัดมหาสารคาม) ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดมหาสารคาม) ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บและไม่หยุดช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดมหาสารคาม) วินิจฉัยว่า กรณีที่เป็นที่น่าสงสัยอยู่หลายประการว่าจำเลยเป็นฝ่ายขับรถล้ำเข้าไปในเส้นทางวิ่งของรถยนต์ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นผู้ขับและชนกันหรือไม่ สมควรยกประโยชน์ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรค ๒ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๖๐ วรรคแรก ให้จำคุก ๑ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี คดีถึงที่สุด ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ ผู้บาดเจ็บหรือไม่ เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดมหาสารคาม) ซึ่งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้เสียหาย ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) โดยอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ แทนโจทก์ที่ ๒ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์ที่ ๒ จะมิได้เข้ามาเป็นคู่ความ โจทก์ที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖/๒๕๒๐ ระหว่าง นางอนงค์ จันทร์สฤษดิ์ กับพวกโจทก์ นายประเสริฐ อภิรมยานนท์ กับพวก จำเลย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ ไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์ที่ ๒ อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ ด้วย
ส่วนโจทก์ที่ ๑ นั้น ปรากฏว่าในคดีอาญามิใช่เป็นผู้บาดเจ็บจากการที่รถชนกัน และมิใช่อยู่ในฐานะผู้เสียหายโดยการจัดการแทน ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔), ๕(๒) ผลของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ที่ ๑ เพราะโจทก์ที่ ๑ มิใช่เป็นคู่ความเดียวกัน ในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงใหม่เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๖๒/๒๕๑๙ ระหว่างองค์การโทรศัพท์ โจทก์นายหวิด มากะเรือน กับพวก จำเลย ซึ่งพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยฟังได้มั่นคงว่ารถคันเกิดเหตุของโจทก์ที่ ๑ ได้แล่นล้ำเข้ามาในเส้นทางรถของจำเลยที่ ๒ โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับ และเป็นฝ่ายแล่นชนรถของจำเลยที่ ๒ จนได้รับความเสียหาย ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าเหตุเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่รถของจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายจำนวน ๕๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๒ คำขออื่นตามฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยก ให้โจทก์ที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๓,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์ที่ ๒ และจำเลยให้เป็นพับสำหรับค่าขึ้นศาลให้ชำระเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ ชนะคดี.

Share