คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองมีจดหมายแจ้งไปถึงเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนฮังการี เพื่อขอความร่วมมือจากสมาชิกคนหนึ่งในสมาคมจำเลยที่ 1 ให้ยกเลิกการสั่งจองห้องพักที่ทำไว้กับโจทก์ที่ 1 มีข้อความว่า ‘..เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางสมาคมของเราได้ดำเนินคดีต่อผู้บริหารกิจการโรงแรมเพรสิเดนท์คือบริษัทรีเจนท์ไทยแลนด์จำกัดเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงจะไม่ต้องมีประสบการณ์กับความกลับกลอกดังที่เราได้ประสบติดต่อกันมา… เจ้าของโรงแรมได้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อบริษัทรีเจนท์ไทยแลนด์ จำกัดเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากเมื่อปีที่แล้วนี้ด้วยเหตุที่บริษัทผิดนัดไม่จดทะเบียนการเช่าภายในระยะเวลาที่กำหนด ‘ คำว่ากลับกลอกมีความหมายในทางกล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจเป็นผู้ประพฤติผิดสัญญาทั้งโจทก์ที่ 1 ยังถูกฟ้องฐานผิดสัญญา ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในการรักษาคำมั่นสัญญาของโจทก์ที่ 1 เป็นการทำให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจการค้าได้รับความเสื่อมเสียในชื่อเสียงและเกียรติคุณหาใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อป้องกันตนหรือส่วนได้เสียตามคลองธรรมแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใส่ความให้โจทก์ที่ 1 เสื่อมเสียชื่อเสียงทางการประกอบกิจการค้า แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นลักษณะแจ้งหรือไขข่าวไปยังสมาชิกของสมาคมเท่านั้น ไม่ถึงกับกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนทั่วไป ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดมาก่อน จึงควรลงโทษสถานเบา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 326, 328, 332, และ 339 และสั่งให้จำเลยทั้งสองจัดให้มีการโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับละ 15 วันติดต่อกัน โดยจำเลยทั้งสองรับผิดชอบในค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วฟังว่ามีมูล มีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 83 ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ให้โฆษณาข้อความคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ เดอะเนชั่น บางกอกโพสต์ ฉบับละ 7 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายในการประกาศดังกล่าว คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาคงสั่งรับฎีกาจำเลยทั้งสองเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าข้อความในหนังสือเอกสาร จ.2 ที่จำเลยทั้งสองมีไปถึงนายจาโนสเวอเรส เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนฮังการีเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความให้โจทก์ที่ 1 เสียชื่อเสียงหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำแปลของเอกสารฉบับที่กล่าวหาดังกล่าวมีใจความดังนี้
‘พณฯเวอเรส
ทางสมาคมผู้สื่อข่าวแห่งประเทศไทยได้ทราบข่าวว่า ทางสถานทูตของท่านได้จองห้องพักไว้ที่โรงแรมเพรสิเดนท์เพื่อใช้ในเวลาอันใกล้นี้เป็นจำนวนมาก อาจจะถึง 29 ห้องด้วยกัน
เราใคร่ขอถือโอกาสนี้เรียนท่านผู้ซึ่งเป็นสมาชิกผู้มีเกียรติของ เอฟ.ซี.ซี.ทีว่า เมื่อเร็วๆ นี้ทางสมาคมของเราได้ดำเนินคดีต่อผู้บริหารกิจการโรงแรมเพรสิเดนท์คือ บริษัทรีเจนท์ไทยแลนด์ จำกัด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงจะไม่ต้องมีประสบการณ์กับความกลับกลอกดังที่เราได้ประสบติดต่อกันมาในความพยายามของเรา และตามสัญญาที่มีการลงนามกันแล้ว เกี่ยวกับความคิดริเริ่มในการก่อสร้างอาคารสมาคมให้เราบนดาดฟ้าของอาคารปีกใหม่ที่โรงแรมเพรสิเดนท์
เราขอเรียนให้ทราบว่า เจ้าของโรงแรมได้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อบริษัทรีเจนท์ไทยแลนด์ จำกัด เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากเมื่อปีที่แล้วนี้ ด้วยเหตุที่บริษัทผิดนัดไม่จดทะเบียนการเช่าภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้…’
พิเคราะห์ข้อความในเอกสารดังกล่าวแล้ว ความมุ่งหมายที่จำเลยทั้งสองมีจดหมายเอกสาร จ.2 ไปถึงผู้รับดังกล่าว เห็นได้ว่าเป็นการขอความร่วมมือจากผู้รับผู้เป็นสมาชิกผู้หนึ่งในสมาคม จำเลยที่ 1 ให้ยกเลิกการสั่งจองห้องพักที่ทำไว้กับโจทก์ที่ 1 คำว่ากลับกลอก มีความหมายในทางกล่าวหาว่าโจทก์ที่1 ไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจเป็นผู้ประพฤติผิดสัญญาที่ว่าให้สมาคมจำเลยที่ 1 เช่าสถานที่ในโรงแรมของโจทก์ที่ 1 เพื่อก่อตั้งที่ทำการสมาคมจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์ที่ 1 ยังถูกฟ้องฐานผิดสัญญา การที่จำเลยทั้งสองกล่าวหาโจทก์ที่ 1 ดังกล่าวทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในการรักษาคำมั่นสัญญาของโจทก์ที่ 1 เป็นการทำให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจการค้าได้รับความเสื่อมเสียในชื่อเสียงและเกียรติคุณทั้งกรณีก็หาใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อป้องกันตนหรือส่วนได้เสียตามคลองธรรมแต่อย่างใดไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใส่ความให้โจทก์ที่ 1 เสื่อมเสียชื่อเสียงทางการประกอบธุรกิจการค้า ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
กรณีคงเหลือปัญหาที่จำเลยที่ 2 ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นรูปลักษณะแจ้งหรือไขข่าวไปยังสมาชิกของสมาคมเท่านั้นไม่ถึงกับกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนทั่วไป พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดมาก่อน ควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 ในการกลับตนเป็นพลเมืองดีใหม่ แต่เห็นควรลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือนและให้ปรับเป็นเงิน 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 3 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น’.

Share