แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 กับพวก รุมทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายแกล้งหมดสติจึงหยุดทำร้าย จากนั้นจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปอันเป็นเจตนาร่วมกันประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย หลังจากที่การทำร้ายร่างกายขาดตอนไปแล้ว จำเลยที่ 2 กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง ปัญหานี้แม้โจทก์ฟ้องมาเป็นความผิดกระทงเดียวและไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าว แต่เห็นว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษหลายกรรม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันทำร้ายร่างกาย และร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์มีความผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นบทเบารวมอยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นสองกระทงความผิดได้ ไม่เกินคำขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 12 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายหนูคำ ผู้เสียหายถูกคนร้ายร่วมกันทำร้ายร่างกาย จนได้รับอันตรายแก่กาย แล้วคนร้ายร่วมกันเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 กับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยมีเจตนาร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพื่อลักรถจักรยานยนต์ของกลางอันเป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาหรือเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายต่อร่างกาย และเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่งเห็นว่า จากเหตุผลตามที่วินิจฉัยมาข้างต้น ได้ความว่าผู้เสียหายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยที่ 2 กับพวกในงานเลี้ยงจนกระทั่งมีเหตุแย่งสุรากันโดยฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งมีนายคำแพงไม่พอใจและพูดจาในทำนองข่มขู่ผู้เสียหายกับพวก หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 กับพวกซึ่งมีนายคำแพงรวมอยู่ด้วยพากันไปดักทำร้ายผู้เสียหาย ขณะที่ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 2 กับพวกก็รุมทำร้ายทันที ไม่ได้มีอากัปกริยาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย ทั้งยังปรากฏว่าเมื่อผู้เสียหายถูกทำร้ายแล้ววิ่งหนีทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้จำเลยที่ 2 กับพวกสามารถที่จะเอารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายไปได้แล้ว แต่จำเลยที่ 2 กับพวกก็ยังไล่ทำร้ายต่อจนกระทั่งผู้เสียหายล้มลง โดยมีนายคำแพงพูดอีกว่า “มึงเก่งแท้บ่อ” ก็ยังเป็นความหมายในทำนองวิวาททำร้ายร่างกายเช่นเดิม ผู้เสียหายถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถลอกและขีดข่วนทั่วร่างกาย ตามผลการชันสูตรบาดแผล เมื่อผู้เสียหายแกล้งหมดสติ จำเลยที่ 2 กับพวกจึงหยุดทำร้าย จากนั้นจำเลยที่ 2 กับพวกจึงร่วมกันเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป อันเป็นการร่วมกันมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายขึ้นมาในภายหลัง หลังจากที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายขาดตอนไปแล้ว จำเลยที่ 2 กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกัน ลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง ปัญหานี้แม้โจทก์ฟ้องมาเป็นความผิดกระทงเดียวและไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นนี้ แต่เห็นว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษหลายกรรม แต่โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์มีความผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นบทเบารวมอยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นสองกระทงความผิดได้ไม่เกินคำขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 กรณีเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4