คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3481/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การฟ้องของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากโจทก์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายบริษัท ท. โดยที่โจทก์มิได้มีสิทธิอื่นใดเหนือหลักประกันอันเป็นเครื่องจักร เนื่องจากการจำนำระงับไปแล้ว เพราะทรัพย์จำนำตกอยู่ในครอบครองของผู้รักษาทรัพย์จำนำซึ่งเป็นผู้แทนผู้จำนำ สาระที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การดังกล่าว จำเลยทั้งสองก็ให้การเกี่ยวกับเหตุผลของการจำนำที่ระงับไปแล้วตั้งแต่จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ฉะนั้น ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายล้วนเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อได้รับสำเนาคำฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองอาจยื่นคำให้การต่อสู้ในเรื่องดังกล่าวได้ตั้งแต่ยื่นคำให้การครั้งแรก และข้อที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองสามารถนำสืบพยานหลักฐานได้ตามประเด็นข้อพิพาท เช่นนี้ การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งสองย่อมไม่ได้มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด
ตามสัญญาจำนำเครื่องจักรและสัญญารักษาทรัพย์ ลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพนำเครื่องจักรมาจำนำไว้แก่โจทก์โดยตกลงให้ ศ. ซึ่งเป็นพนักงานของลูกหนี้เป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักรที่จำนำไว้ที่โรงงานของลูกหนี้ โดย ศ. จะได้รับค่าตอบแทนการรักษาทรัพย์จำนำเพียงเดือนละ 100 บาท และยังมีข้อตกลงว่า ตลอดเวลาที่ทรัพย์จำนำอยู่ในความครอบครองของผู้รักษาทรัพย์จำนำ แม้ผู้จำนำจะได้ใช้สอยทรัพย์สินที่จำนำ ก็ไม่ถือว่าทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนสู่ความครอบครองของผู้จำนำ ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่ให้ถือว่าเครื่องจักรกลับคืนสู่การครอบครองของผู้จำนำก็ตาม แต่เป็นการเขียนสัญญาไว้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย เพราะเจตนาอันแท้จริงของสัญญาจำนำดังกล่าวประสงค์ให้ลูกหนี้ได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินที่จำนำ การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนำเครื่องจักรยอมให้ลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่จำนำย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตาม ป.พ.พ. มาตรา 769 (2) สิทธิจำนำของโจทก์จึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่อาจบังคับจำนำตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 764 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กำหนดราคารับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,457,280,208.82 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,457,280,208.82 บาท แก่โจทก์ ครบกำหนดวันที่ 31 ตุลาคม 2554 โดยชำระดอกเบี้ยคิดตามอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเงินฝากทุกประเภท (รวมทั้งเงินฝากกระแสรายวัน) เฉพาะที่เป็นเงินบาทของโจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยคำนวณเป็นรายไตรมาสตามปีปฏิทิน เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไป กำหนดชำระดอกเบี้ยวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี และให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ตามมาตรา 46 แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 2,457,280,208.82 บาท ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 พร้อมดอกเบี้ยคิดตามอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเงินฝากทุกประเภท (รวมทั้งเงินฝากกระแสรายวัน) เฉพาะที่เป็นเงินบาทของโจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยคำนวณเป็นรายไตรมาสตามปีปฏิทิน เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยประจำงวดปี 2544 ถึงประจำงวดปี 2548 เพิ่มเติมจำนวน 129,576,097.53 บาท และดอกเบี้ยประจำงวดปี 2549 จำนวน 56,218,531.81 แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานจำเลย จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กำหนดราคารับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,457,280,208.82 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 2,457,280,208.82 บาท แก่โจทก์ ครบกำหนดวันที่ 31 ตุลาคม 2554 โดยชำระดอกเบี้ยคิดตามอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเงินฝากทุกประเภท (รวมทั้งเงินฝากกระแสรายวัน) เฉพาะที่เป็นเงินบาทของโจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยคำนวณเป็นรายไตรมาสตามปีปฏิทิน เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไป กำหนดชำระดอกเบี้ยวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี และให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวตามมาตรา 46 แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 2,457,280,208.82 บาท ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 พร้อมดอกเบี้ยคิดตามอัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเงินฝากทุกประเภท (รวมทั้งเงินฝากกระแสรายวัน) เฉพาะที่เป็นเงินบาทของโจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยคำนวณเป็นรายไตรมาสตามปีปฏิทิน เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยประจำงวดปี 2544 ถึงงวดปี 2548 เพิ่มเติมจำนวน 129,576,097.53 บาท และดอกเบี้ยประจำงวดปี 2549 จำนวน 56,218,531.81 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา กระทรวงการคลัง ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิ์เป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 โอนสินทรัพย์และหนี้สินรวมทั้งสิทธิเรียกร้องให้แก่กระทรวงการคลัง ตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 94 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2540 บริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ทำสัญญาจำนำเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ที่บริษัทดังกล่าวมีต่อโจทก์ วันเดียวกันโจทก์ตกลงให้นายศักดิ์ชัย ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รักษาทรัพย์สินจำนำ ตามสัญญาจำนำเครื่องจักรและสัญญารักษาทรัพย์จำนำ วันที่ 12 ตุลาคม 2544 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของโจทก์ รวมทั้งสิทธิอื่นใดเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ตามสำเนาสัญญาโอนสินทรัพย์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 จำเลยที่ 1 ออกหนังสือยืนยันการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจำนวน 44 ราย ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์รายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามหนังสือหลักฐานการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โจทก์กำหนดราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายนี้ตามมูลค่าเครื่องจักรที่ทำสัญญาจำนำเป็นเงิน 2,364,775,603.56 บาท และมูลค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ทำสัญญาจำนองเป็นเงิน 92,504,605.26 บาท รวมเป็นมูลค่าหลักประกัน 2,457,280,208.82 บาท วันที่ 24 กรกฎาคม 2546 จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 2,457,280,208.82 บาท ครบกำหนดวันที่ 31 ตุลาคม 2554 มอบให้แก่โจทก์ตามสำเนาตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงตั๋วสัญญาใช้เงินหลายครั้ง วันที่ 25 เมษายน 2549 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ ขอข้อมูลการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีเครื่องจักรจำนำเป็นประกัน และขอให้แสดงเหตุผลด้วยว่า การรับจำนำเครื่องจักรเป็นการจำนำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ชี้แจงว่า การจำนำเครื่องจักรกรณีลูกหนี้รายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) เป็นการจำนำโดยชอบด้วยกฎหมาย พร้อมส่งสัญญาจำนำและสัญญารักษาทรัพย์จำนำให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 15 สิงหาคม 2549 จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ว่า เครื่องจักรที่โจทก์รับจำนำอยู่ในครอบครองของผู้จำนำเพื่อประโยชน์ผู้จำนำ ถือว่าทรัพย์จำนำกลับไปอยู่ในครอบครองของผู้จำนำ สัญญาจำนำจึงระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) จำเลยที่ 1 จึงต้องปรับลดราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกรณีเฉพาะเครื่องจักรออกไป คงเหลือราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นเงิน 92,504,605.26 บาท และปรับลดดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินย้อนหลังไปถึงวันรับโอนสินทรัพย์ ทั้งนี้โจทก์อาศัยสิทธิตามสัญญาโอนสินทรัพย์ ข้อ 7.2 โดยจำเลยที่ 1 จะยกเลิกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 เพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนมูลค่าหน้าตั๋ว จำเลยที่ 1 และโจทก์มีหนังสือโต้ตอบกันอีกหลายฉบับเกี่ยวกับการปรับลดราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกรณีเครื่องจักร และที่สุดจำเลยที่ 1 กำหนดราคารับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพคดีนี้เหลือ 92,504,605.26 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า คำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยทั้งสองซึ่งมิได้ยื่นก่อนวันชี้สองสถานนั้น เป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลชอบที่จะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากโจทก์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) โดยที่โจทก์มิได้มีสิทธิอื่นใดเหนือหลักประกันอันเป็นเครื่องจักร เนื่องจากการจำนำระงับไปแล้ว เพราะทรัพย์จำนำตกอยู่ในครอบครองของผู้รักษาทรัพย์จำนำซึ่งเป็นผู้แทนผู้จำนำ สัญญาจำนำมีเจตนาเลี่ยงกฎหมาย สาระที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การดังกล่าว จำเลยทั้งสองก็ให้การเกี่ยวกับเหตุผลของการจำนำที่ระงับไปแล้วตั้งแต่จำเลยทั้งสองให้การตามคำให้การฉบับลงวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ฉะนั้น ข้อที่จำเลยทั้งสองยกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมตามคำร้องฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2552 จึงล้วนเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อได้รับสำเนาคำฟ้องของโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองอาจยื่นคำให้การต่อสู้ในเรื่องดังกล่าวได้ตั้งแต่ยื่นคำให้การครั้งแรก และข้อที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวบางส่วนก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองสามารถนำสืบพยานหลักฐานได้ตามที่ศาลชั้นต้น กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ เช่นนี้ การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งสองย่อมไม่ได้มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่การขอแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองแก้ไขคำให้การนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิปรับลดราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกรณีเครื่องจักรที่โจทก์รับจำนำจากลูกหนี้รายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอ้างว่า สัญญาจำนำที่โจทก์ทำไว้กับบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพระงับไปแล้ว เนื่องจากโจทก์ยินยอมให้เครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินที่จำนำอยู่ในครอบครองของลูกหนี้ ทรัพย์ที่จำนำจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามที่ตกลงไว้ในสัญญาโอนสินทรัพย์ กรณีจึงต้องวินิจฉัยก่อนว่า เครื่องจักรตามสัญญาจำนำเป็นทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามข้อตกลงในสัญญาโอนสินทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งจำต้องวินิจฉัยว่าสัญญาจำนำระหว่างโจทก์กับลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพใช้บังคับได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากสัญญาจำนำเครื่องจักรและสัญญารักษาทรัพย์จำนำว่า ลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพนำเครื่องจักรมาจำนำไว้แก่โจทก์โดยตกลงให้นายศักดิ์ชัย ซึ่งเป็นพนักงานของลูกหนี้เป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักรที่จำนำไว้ที่โรงงานถลุงทองแดงบริสุทธิ์ของลูกหนี้ โดยนายศักดิ์ชัยจะได้รับค่าตอบแทนการรักษาทรัพย์จำนำเพียงเดือนละ 100 บาท และยังมีข้อตกลงว่า ตลอดเวลาที่ทรัพย์จำนำอยู่ในความครอบครองของผู้รักษาทรัพย์จำนำ แม้ผู้จำนำจะได้ใช้สอยทรัพย์สินที่จำนำ ก็ไม่ถือว่าทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนสู่ความครอบครองของผู้จำนำ ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่ให้ถือว่าเครื่องจักรกลับคืนสู่การครอบครองของผู้จำนำก็ตาม แต่เป็นการเขียนสัญญาไว้เพื่อเลี่ยงกฎหมาย เพราะเจตนาอันแท้จริงของสัญญาจำนำดังกล่าวประสงค์ให้ลูกหนี้ได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินที่จำนำ การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนำเครื่องจักรยอมให้ลูกหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่จำนำย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินที่จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) สิทธิจำนำของโจทก์จึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่อาจบังคับจำนำตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 764 ได้ เมื่อโจทก์ไม่อาจบังคับจำนำได้ เครื่องจักรที่จำนำจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามความที่กำหนดไว้ในสัญญาโอนสินทรัพย์ เมื่อไม่เป็นทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันจึงไม่อาจนำมาเป็นฐานในการกำหนดราคารับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นราคาที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามสัญญาโอนสินทรัพย์ ที่กำหนดไว้ว่า “ราคารับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนให้มีราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแต่ไม่เกินมูลค่าทางบัญชี หักด้วยเงินสำรองที่ต้องตั้งไว้ ณ วันโอนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ หรือสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ เรื่อง การกำหนดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและหลักเกณฑ์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ต้องถือปฏิบัติ” การกำหนดราคาสินทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้โจทก์โดยนำเครื่องจักรที่จำนำมาคำนวณรวมด้วยจึงเป็นการกำหนดราคาและชำระราคาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิที่จะปรับราคาสินทรัพย์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ณ วันโอนสินทรัพย์และเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินให้สอดคล้องกับราคาสินทรัพย์ที่ถูกต้องได้ ทั้งนี้เป็นไปตามสัญญาโอนสินทรัพย์ ข้อ 7.2 ที่ระบุว่า “…บสท. มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกตามข้อ 7.1 (2) โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ เมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้ (1) มีการปรับปรุงรายการหรือปรับราคาสินทรัพย์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ณ วันโอน…” ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิปรับลดราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกรณีเครื่องจักรที่โจทก์รับจำนำจากลูกหนี้รายบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น และเมื่อวินิจฉัยดังนี้ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการอื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share