คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นเอาธนบัตร 4,000 บาทของเจ้าทรัพย์ไป ต่อมาจับจำเลยได้และได้ธนบัตรรวม 1,780 บาทจากจำเลยที่ 2 เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษและคืนธนบัตร 1,780 บาทของกลางแก่เจ้าทรัพย์และให้จำเลยคืนหรือใช้ธนบัตรอีก 2,220 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์ด้วย เมื่อเงินของกลาง 1,780 บาทนี้ผู้เสียหายมิได้เป็นเจ้าของ แม้จะเป็นของคนร้ายที่ร่วมปล้นซึ่งต้องใช้คืนผู้เสียหายอยู่แล้ว การที่จะพิพากษาให้คืนแก่ผู้เสียหายนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 49, 50 และเมื่อเงินของกลางนี้ไม่อาจถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนอันผู้เสียหายจะพึงได้รับด้วยการที่ศาลสั่งคืนให้แล้วก็ย่อมไม่ต้องนำไปหักออกจากจำนวนค่าเสียหายทั้งหมดที่โจทก์คิดคำนวณมาในฟ้อง จำนวนเงิน 1,780 บาทนี้จึงกลับไปรวมอยู่ในจำนวนค่าเสียหาย 4,000 บาทซึ่งโจทก์ฟ้องว่าผู้เสียหายพึงได้รับค่าสินไหมทดแทน ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 4,000 บาท แก่ผู้เสียหายธนบัตรของกลาง 1,780 บาทให้คืนจำเลยที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 4 คนมีอาวุธปืนติดตัว ได้ร่วมกันปล้นธนบัตรรวม 4,000 บาทของนายทวี ทองประชุม และนางทัศนีย์ทองประชุมไป ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้ใช้กำลังกายและอาวุธปืนทุบตีบังคับขู่เข็ญให้เจ้าทรัพย์และนางสาวฉวี ทองประชุม พวกเจ้าทรัพย์ให้บอกที่ซ่อนทรัพย์ นายทวี ทองประชุม ต่อสู้ขัดขวางโดยใช้มีดดาบฟันและแทงจำเลยที่ 1 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยทั้งสองได้ใช้อาวุธปืนยิงนายทวี ทองประชุมหลายนัด แล้วจำเลยที่ 1 ได้แย่งมีดดาบจากนายทวี ฟันนายทวีและนางทัศนีย์โดยเจตนาฆ่า เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งธนบัตรรวม 4,000 บาทที่ปล้นทรัพย์ได้ นายทวีได้ถึงแก่ความตาย ส่วนนางทัศนีย์ได้รับบาดเจ็บ พนักงานสอบสวนยึดได้มีดดาบ 1 เล่มของนายทวีเป็นของกลาง ต่อมาจับจำเลยทั้งสองได้และได้ธนบัตรรวม 1,780 บาทจากจำเลยที่ 2 เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 289, 295, 83 และคืนมีดดาบและธนบัตรรวม 1,780 บาทของกลางแก่เจ้าทรัพย์ และให้คืนหรือใช้ราคาธนบัตร 2,220 บาทที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์

นางทัศนีย์ ทองประชุม เข้าเป็นโจทก์ร่วม

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ได้หลบหนี ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ชั่วคราว ภายหลังที่ได้พิพากษาคดีของจำเลยที่ 2 แล้วจึงจับจำเลยที่ 1 ได้ ศาลชั้นต้นได้ยกคดีของจำเลยที่ 1 ขึ้นพิจารณาต่อไป ในชั้นนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 289, 295 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 289 ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง แต่คำรับของจำเลยที่ 2 ชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ตลอดชีวิต คืนมีดของกลางแก่ผู้เสียหาย ส่วนเงินของกลาง 1,780 บาทเป็นของคนร้ายที่ร่วมปล้นซึ่งจะต้องใช้คืนผู้เสียหายอยู่แล้ว ให้คืนแก่ผู้เสียหายให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 2,220 บาทที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต

พนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษประหารชีวิตแก่จำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องและที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่ายังไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข

แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเงินของกลาง 1,780 บาท เป็นของคนร้ายที่ร่วมปล้นซึ่งต้องใช้คืนผู้เสียหายอยู่แล้ว ให้คืนแก่ผู้เสียหายนั้น ไม่ชอบด้วยมาตรา 49 และ 50 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะเงินของกลางนี้ผู้เสียหายมิได้เป็นเจ้าของ และเมื่อเงินของกลางนี้ไม่อาจถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนอันผู้เสียหายจะพึงได้รับด้วยการที่ศาลสั่งคืนให้แล้วย่อมไม่ต้องนำไปหักออกจากจำนวนค่าเสียหายทั้งหมด ดังที่ โจทก์คิดคำนวณมาในฟ้องจำนวนเงิน 1,780 บาทนี้จึงกลับไปรวมอยู่ในจำนวนค่าเสียหาย 4,000 บาท ซึ่งโจทก์ฟ้องว่าผู้เสียหายพึงได้รับค่าสินไหมทดแทน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 4,000บาทแก่ผู้เสียหาย ธนบัตร 1,780 บาทให้คืนจำเลยที่ 2

Share