คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2411/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์นั้น ผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องอ้างว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลากว่า 10 ปีผู้ร้องสอดจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ และขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดห้ามโจทก์เกี่ยวข้องได้ เพราะเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เกี่ยวกับที่ดินและบ้านพิพาทนั้น ผู้ร้องสอดจึงย่อมยื่นคำร้องเข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 12 ตำบลหนองปาครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 1 งาน 81 ตารางวา พร้อมบ้าน 2 ชั้น1 หลัง จำเลยตกลงจะซื้อที่ดินและบ้านดังกล่าวจากโจทก์ในราคา1,449,000 บาท แต่จำเลยผิดนัดผิดสัญญา ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาทพร้อมทั้งทั้งชำระค่าปรับ 150,000 บาทและค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช้เจ้าของที่ดินและบ้านพิพาท หนังสือสัญญาซื้อขายที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม จำเลยไม่ได้อาศัยอยู่ในที่ดินบ้านพิพาท จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
นายสิทธิพร ไชยนันท์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและมีสิทธครอบครองที่ดินพิพาท โดยผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้สั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การครอบครองปรปักษ์จนได้สิทธิ์นั้นจะต้องเป็นการครอบครองที่ดินมีโฉนดของผู้อื่น สำหรับคดีนี้โจทก์มีเพียงสิทธิครอบครองผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นเจ้าของหาได้ไม่ หากผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลคุ้มครอบสิทธิของตนที่มีอยู่ ก็ต้องยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนว่าผู้ร้องได้สิทธิอย่างไรในที่ดิน จะยื่นคำร้องสอดอ้างสิทธิของตนเองลอย ๆ เข้ามาในคดีนี้ไม่ได้ อีกกรณีหนึ่งคือไม่ว่าศาลจะพิพากษาคดีนี้อย่างไรก็หากระทบกระเทือนถึงผู้ร้องไม่เพราะผู้ร้องยังไม่มีสิทธิที่จะอ้างการครอบครองปรปักษ์เพื่อใช้ยันโจทก์ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินและบ้านพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องอ้างว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ผู้ร้องสอดจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เกี่ยวกับที่ดินและบ้านพิพาทนั้น ผู้ร้องสอดจึงย่อมยื่นคำร้องเข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)…”
พิพากษากลับ ให้รับคำร้องของผู้ร้องสอด ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปความ.

Share