คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดจะเป็นเหตุในลักษณะคดีหรือไม่ ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อเท็จจริงใดที่รับฟังต้องฟังถึงจำเลยคนอื่นเช่นเดียวกัน ย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดี สำหรับคดีนี้พยานหลักฐานที่ใช้วินิจฉัยจำเลยที่ 5 แตกต่างจากจำเลยที่ 6 คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองแยกกันเป็นคนละส่วนและมีข้อที่แตกต่างกัน รวมทั้งพยานอื่นที่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งสองด้วย ดังนั้น พยานหลักฐานที่จะใช้วินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 5 จึงแตกต่างไปจากจำเลยที่ 6 มิใช่พยานชุดเดียวกันทั้งหมด จึงไม่เป็นเหตุในลักษณะคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340, 340 ตรี และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จี้เลี่ยมทอง ราคา 1,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 กับนับโทษของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ที่ 1 ที่ 4 และที่ 3ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2807/2540 ของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยที่ 1 ขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 3 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุกคนละ 24 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาหลังจากที่โจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณา เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอย่างมาก มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6คนละหนึ่งในสี่ และลดโทษให้จำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78จำเลยที่ 1 คงจำคุก 16 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 คงจำคุก คนละ 18 ปี และจำเลยที่ 3 คงจำคุก 12 ปี ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนจี้เหลี่ยมทองตามฟ้องแก่ผู้เสียหายที่ 1 หรือใช้ราคาทรัพย์ 1,000 บาท ส่วนคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในคดีนี้ต่อนั้นปรากฏว่าคดีดังกล่าวยังไม่ได้พิพากษา ไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยที่ 5 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง,340 ตรี ประกอบด้วยมาตรา 83 จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์เพียงคนเดียว จำเลยอื่นไม่อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 5 และเห็นว่าพยานโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นไปทำนองเดียวกันไม่อาจแยกรับฟังได้ เป็นเหตุในลักษณะคดี จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 6 ด้วย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่าจำเลยที่ 5 ร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การกระทำที่จำเลยที่ 5 ถูกฟ้อง มีอัตราโทษขั้นต่ำให้จำคุกเกินกว่าห้าปีขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง จำเลยที่ 5 นอกจากจะให้การปฏิเสธแล้ว ตามทางนำสืบโจทก์ไม่มีพยานปากใดยืนยันว่าจำเลยที่ 5 ร่วมกระทำความผิดคงมีแต่คำรับสารภาพในชั้นจับกุมตามเอกสารหมาย จ.15 และคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.23 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า แม้จะรับฟังเป็นพยานได้แต่ก็มีน้ำหนักน้อย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะนำมารับฟังประกอบกับคำรับสารภาพให้เชื่อว่าจำเลยที่ 5 กระทำผิดจริง ย่อมไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 5 ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปมีว่า มีเหตุในลักษณะคดีที่จะพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 6 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดจะเป็นเหตุในลักษณะคดีหรือไม่ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อเท็จจริงใดที่รับฟังต้องฟังถึงจำเลยคนอื่นเช่นเดียวกันย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดี สำหรับคดีนี้พยานหลักฐานที่ใช้วินิจฉัยจำเลยที่ 5 แตกต่างจากจำเลยที่ 6 คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองแยกกันเป็นคนละส่วนและมีข้อที่แตกต่างกัน รวมทั้งพยานอื่นที่เกี่ยวข้องกับจำเลยด้วย เช่นผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่า รถยนต์ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 และ จ.8 เป็นรถยนต์ที่ใช้ในการปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 6 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.24 ว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้เช่ามาจากร้าน กม. 3 รถเช่า ค่าเช่าวันละ 1,200 บาท จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าเช่า และโจทก์ยังส่งคำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวเปรมฤทัย ยอดแสงจันทร์ตามเอกสารหมาย จ.11 สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ที่คนร้ายใช้ในการปล้นทรัพย์ตามเอกสารหมาย จ.10 และสัญญาเช่ารถยนต์ในระหว่างเกิดเหตุมีจำเลยที่ 6 เป็นผู้เช่าตามเอกสารหมาย จ.13 ประกอบคำแถลงรับข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 6 อีกด้วย ดังนั้น พยานหลักฐานที่จะใช้วินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 5 จึงแตกต่างไปจากจำเลยที่ 6 มิใช่พยานชุดเดียวกันทั้งหมด จึงไม่เป็นเหตุในลักษณะคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 6 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบด้วยมาตรา 83 เมื่อลงโทษและลดโทษตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 18 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share