คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า อ.(จำเลย)ออกเช็คให้ผู้แจ้ง ธนาคารเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย ได้ติดต่อ อ. แล้วไม่พบ ในชั้นนี้ผู้แจ้งเพียงแต่มาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานชั้นหนึ่งก่อน หากติดตาม อ. ได้เมื่อใด ผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ อ. ในภายหลัง. ดังนี้ ข้อความที่โจทก์แจ้งดังกล่าวมีเจตนาเพียงมาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะบัญชีของผู้สั่งจ่ายปิดแล้วเท่านั้น ขณะแจ้งผู้แจ้งไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีกับ อ. ต่อไปประการใดไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ในขณะที่แจ้งความว่ามีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ส่วนข้อความที่ว่าหากติดตาม อ.ได้เมื่อใดผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในภายหลัง ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่เป็นข้อบ่งว่าขณะแจ้งความนั้น ผู้แจ้งมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ข้อความที่แจ้งจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7)(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ซึ่งโจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนแล้ว

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยไม่ได้เจตนาจะให้ใช้เงินตามเช็คและคดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ข้อความที่โจทก์แจ้งต่อพนักงานสอบสวนไม่ใช่คำร้องทุกข์ คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96 สิทธิการฟ้องคดีโจทก์ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ปัญหาว่าข้อความที่โจทก์แจ้งต่อพนักงานสอบสวนตามรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันคดีนี้ เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) หรือไม่ ข้อความในรายงานเบ็ดเสร็จดังกล่าวมีความว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2511 นายวิวัฒน์ ศรีชัยพฤกษ์ (โจทก์) แจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนต่อพนักงานสอบสวนว่า นายอิ๊ดฮั้ว แซ่ตั้ง (จำเลย) ตกลงซื้อเครื่องอะไหล่รถยนต์จากผู้แจ้งเป็นเงิน 15,000 บาท ออกเช็คเงินสดลงวันที่สั่งจ่าย 15 เมษายน 2511 ผู้แจ้งนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกระบือ ธนาคารเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย ได้ติดต่อนายอิ๊ดฮั้ว (จำเลย)แล้วไม่พบ ในชั้นนี้ผู้แจ้งเพียงแต่มาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานชั้นหนึ่งก่อน หากติดตามนายอิ๊ดฮั้ว แซ่ตั้ง ได้เมื่อใด ผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายอิ๊ดฮั้ว แซ่ตั้ง ในภายหลัง ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่าข้อความที่โจทก์แจ้งดังกล่าวมีเจตนาเพียงมาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะบัญชีของผู้สั่งจ่ายปิดแล้วเท่านั้นขณะแจ้งผู้แจ้งไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีกับนายอิ๊ดฮั้ว แซ่ตั้ง จำเลยต่อไปประการใด ไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ในขณะที่แจ้งความดังกล่าวมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษส่วนข้อความที่ปรากฏว่า หากติดตามนายอิ๊ดฮั้ว แซ่ตั้งได้เมื่อใดผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในภายหลังเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่เป็นข้อบ่งว่าขณะแจ้งความนั้นผู้แจ้งมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ข้อความที่โจทก์แจ้งในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันคดีนี้จึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share