คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์มาจากผู้อื่น ขณะรถยนต์ถูกลักกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนเป็นของโจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถยนต์อยู่ เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3(1)(2) ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญาจะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ศาลจึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพ แผนที่บ้านจำเลยและภาพถ่ายที่พนักงานอัยการโจทก์ส่งศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น เพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันลักเอาเสาวิทยุ 1 อัน ราคา 1,000 บาท ของนายสุรินทร์ สู่สวัสดิ์ ผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ,83 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา นายสุรินทร์ สู่สวัสดิ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 วรรคสาม และมาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 ปี ทรัพย์ที่จำเลยลักไปโจทก์ร่วมได้รับคืนแล้ว จึงให้ยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) (7) วรรคสาม ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์มาจากผู้อื่น ขณะเกิดเหตุกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่อาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นมาในชั้นฎีกาได้ เห็นว่าแม้ขณะเกิดเหตุ โจทก์ร่วมจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกจำเลยลักไป เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3(1) (2) ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานเอกสารบางฉบับไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวน แสดงว่าเอกสารดังกล่าวมิได้มีการสอบสวนมาก่อน พนักงานอัยการจึงไม่สามารถอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้นั้น เห็นว่า ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญา จะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพ แผนที่บ้านจำเลยและภาพถ่ายตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.6 ประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ตาม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน คำรับสารภาพของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามคงลงโทษจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share