แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่ไม่สามารถส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 1 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ได้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้ส่งหมายนัดโดยวิธีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายแจ้งวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยวิธีปิดประกาศที่หน้าศาลจึงเป็นการแจ้งวันนัดที่ไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่มาศาล ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันนัดดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ยอมรับตามคำร้องว่าได้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิมแต่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1ทราบหรือฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534จึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องดำเนินกระบวนพิจารณาแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 มาฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่ การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2534 นั้น มีผลเฉพาะจำเลยที่ 1เพราะการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความรายใดฟังนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป ไม่มีผลถึงการอ่านให้คู่ความรายอื่นที่ได้ฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยชอบแล้ว สิทธิในการอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 2และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดนับแต่วันที่ทราบคำสั่งจะถือตามสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด โดยศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้ทนายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟัง และให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยชอบแล้ว
ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2534 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าการส่งหมายนัดฟังคำสั่งให้จำเลยที่ 1 โดยวิธีปิดประกาศหน้าศาลเป็นการไม่ชอบขอให้เพิกถอนคำสั่งและให้สั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายไว้ชั่วคราวก่อน ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 16 กรกฎาคม 2534จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอีกว่าการส่งหมายนัดฟังคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ไม่ชอบ จำเลยที่ 1 เพิ่งทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534 ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วตั้งแต่วันที่26 มีนาคม 2534 และขอให้นัดจำเลยที่ 1 มาฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1แล้ว และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้ถือว่าจำเลยที่ 1ทราบหรือได้ฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2534 และให้ยกเลิกคำสั่งเดิมที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบหรือฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2534ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ไปถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2534
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและคำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่นัดฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ จำเลยที่ 2และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ภายในอายุความอุทธรณ์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสิทธิในการยื่นอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนมิใช่กรณีความรับผิดร่วมกัน ซึ่งแม้จำเลยคนใดจะไม่อุทธรณ์ก็มีผลถึงจำเลยร่วมคนอื่นได้ ดังนั้น เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วจะขยายระยะเวลาอีกไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่ไม่สามารถส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 1 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1ได้ การส่งหมายแจ้งวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่26 มีนาคม 2534 ให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยวิธีปิดประกาศที่หน้าศาลจึงเป็นการแจ้งวันนัดที่ไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันดังกล่าวแต่อย่างไรก็ตาม ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2534จำเลยที่ 1 ก็รับว่าได้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่1 กรกฎาคม 2534 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิมที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบหรือฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2534 แต่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบหรือได้ฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534จึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องดำเนินกระบวนพิจารณาแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 มาฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่
มีปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการอ่านคำสั่งในวันที่26 มีนาคม 2534 แล้ว จะมีผลถึงการอ่านคำสั่งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ฟังด้วยหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะจำเลยร่วมโดยมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีและมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2534 ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยร่วมคนอื่นด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดภายในอายุอุทธรณ์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความฟังนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไปหากเป็นการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความรายใดฟังเป็นการไม่ชอบก็มีผลเฉพาะคู่ความรายนั้น ๆ ไม่มีผลถึงการอ่านให้คู่ความรายอื่นที่ได้ฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยชอบแล้ว สิทธิในการอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 2 และที่ 3มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง จะถือตามสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
พิพากษายืน