คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่าชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วบางส่วน และโจทก์ออกใบรับให้แต่ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกับใบรับนั้นเสีย ดังนี้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
จำเลยกู้เงินให้โจทก์ไปจริงเพียง 2,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว 1,000 บาท ส่วนอีก 2,420 บาทเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตรา และคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654, 655 ดังนั้นดอกเบี้ยดังกล่าว จึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะ ส่วนหนี้เงินต้นที่ยังคงค้างชำระอยู่อีก 1,000 บาท นั้นยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ ในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับได้ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๔,๔๒๐ บาท ดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดชำระวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๔ แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันผิดนัด
จำเลยให้การว่ากู้เงินโจทก์จริงเพียง ๒,๐๐๐ บาท โจทก์นำดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน กำหนดเวลา ๑ ปีมารวมด้วยเป็น ๓,๒๐๐ บาท ถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระจึงทำสัญญากันใหม่ และเอาดอกเบี้ย ๑,๒๒๐ บาท ตามสัญญาที่ต่อใหม่รวมเข้าไปด้วยเป็นยอดเงิน ๔,๔๒๐ บาท จำเลยชำระเงินให้แล้ว ๑,๐๐๐ บาท เมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๕
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับเงินต้น ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันกู้ถึงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๕ ระยะหนึ่ง กับให้จำเลยชำระเงินต้นที่เหลือ ๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๕ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินต้น ๔,๔๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยนำสืบว่าเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จำเลยกู้เงินมาจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูตรัง จำกัด เป็นเงิน ๘,๔๐๐ บาท โดยจำเลยรับราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์นั้นปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ จำเลยนำเงินที่กู้มาได้ไปชำระหนี้รายอื่น และชำระหนี้ให้โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๕ โจทก์ออกใบรับเงินให้ ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกัดใบรับเงินนี้เสีย จึงไม่มีส่งอ้าง จำเลยนำพยานบุคคลคือ นายวิน วงษ์ผู้ดี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและนายยิ้ม หนูสอน มาสืบว่าได้รู้เห็นจำเลยชำระเงิน ๑,๐๐๐ บาทให้โจทก์ และโจทก์ออกใบรับให้จำเลยซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะสืบเช่นนี้ได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓(๒) โจทก์มิได้สืบหักล้างในข้อนี้อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ๑,๐๐๐ บาท
สรุปแล้วคดีฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว ๑,๐๐๐ บาท ส่วนอีก ๒,๔๒๐ บาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตราและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔, ๖๕๕ ฉะนั้น หนี้ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ ส่วนหนี้เงินต้นที่ยังค้างชำระอยู่อีก ๑,๐๐๐ บาทนั้น ยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้หมาย จ.๑ ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินต้น ๑,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยสำหรับเงิน ๑,๐๐๐ บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ

Share