คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กู้เงินมาลงทุนเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว จึงเป็นหนี้ร่วมของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน. สวนพิพาทไม่ว่าจะเป็นสินสมรสหรือสินเดิม. จึงเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดใช้หนี้ได้ทั้งสิ้น.
โจทก์มิใช่อิสลามศาสนิก. จะบังคับคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีฯลฯ พ.ศ.2489มาตรา 3 มิได้.

ย่อยาว

จำเลยยอมความใช้เงินตามสัญญากู้ให้โจทก์ จำเลยไม่ใช้ โจทก์นำยึดสวนยาง 1 แปลง ผู้ร้องร้องว่าไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้อง ฯลฯ ขอให้สั่งปล่อยที่พิพาท โจทก์ให้การว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องหนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากันผูกพันสินบริคณห์ ฯลฯ ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยต้องใช้เงินลงทุนในการเข้าหุ้นกับสามีโจทก์ซื้อรถยนต์มาใช้รับจ้าง การที่จำเลยออกทำงานขับรถยนต์คันนี้ด้วย แสดงว่าการขับรถยนต์รับจ้างของจำเลยเป็นอาชีพหลักของครอบครัวซึ่งเป็นธรรมดาที่จะต้องนำผลประโยชน์รายได้มาใช้จ่ายในครอบครัวร่วมกับผู้ร้อง เป็นการกู้เงินมาลงทุนเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมของจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากันและอยู่กินร่วมกันตลอดมา เมื่อหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมผู้ร้องจึงต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ สวนพิพาทมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ซื้อเมื่อปี 2496 ไม่ว่าจะเป็นสินสมรสหรือเป็นสินเดิมของผู้ร้องเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดใช้หนี้รายนี้ได้ทั้งสิ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสวนพิพาทจะเป็นสินเดิมของผู้ร้องดังอ้างหรือไม่ นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิใช่อิสลามศาสนิก จึงต้องบังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้ผู้ร้องจะได้หย่าขาดจากจำเลยแล้วหรือไม่ก็ตาม หนี้สินเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลย ผู้ร้องจึงขอให้ปล่อยการยึดสวนพิพาทไม่ได้ พิพากษายืน.

Share