คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่2 และของ ส.เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้ ส. ทุจริตยักยอกเงินไปตามจำนวนในฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายแม้ฟ้องโจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ไม่ตรวจแบบรายการเสียภาษีบัญชีงบเดือนเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินฉบับใด เดือนใด ปีใด จำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คดีได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
เงินที่ ส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมายกรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้วส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้องคดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรม ได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส. ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเองเมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วยและได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือนมีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส. รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 จนถึงปลายปีพ.ศ.2505ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่งๆ ไม่ตรงกันและเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส. ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ.2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้การกระทำของจำเลยที่3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายสถิตย์ วัฒนก้านตง เป็นเสมียนพนักงานแผนกสรรพากร อำเภอเมืองอุดรธานี นายผล คลังทรัพย์จำเลยที่ 1 เป็นสมุหบัญชีอำเภอโท อำเภอเมืองอุดรธานี นายวีระ กลางโยธี จำเลยที่ 2เป็นสมุหบัญชีอำเภอโท อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี รับคำสั่งให้มาช่วยราชการในตำแหน่งผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดอุดรธานี นายสงัด อนุรักษ์ จำเลยที่ 3 เป็นสรรพากรจังหวัดอุดรธานี จำเลยทั้งหมดมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและมติคณะรัฐมนตรีให้เกิดผลดีแก่ราชการ ทั้งต้องถือปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมของราชการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระเบียบแบบแผนและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดตามกฎหมาย

นายสถิตย์ วัฒนก้านตง มีหน้าที่เก็บเงินภาษีการค้าและอากรแสตมป์แล้วนำลงบัญชีส่งเป็นเงินรายได้ของแผ่นดิน ได้ทำการทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินที่เก็บได้ตามหน้าที่เป็นของตนเสียดังนี้ คือ ในปี พ.ศ. 2504 ทุจริตยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย 1,087 บาท 30 สตางค์ ในปี พ.ศ. 2505 ทุจริตยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย 121,921 บาท 84 สตางค์ รวมเงินที่นายสถิตย์ ทุจริตไปเป็นเงิน 120,009 บาท 14 สตางค์ ดังปรากฏรายละเอียดตามบัญชีท้ายฟ้อง

จำเลยที่ 3 ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลทั้งสามดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และทำให้นายสถิตย์ ทุจริตยักยอกเงินดังกล่าวแล้วไป และจำเลยที่ 3 ยังมีหน้าที่ตรวจตัดปีเงินผลประโยชน์ประเภทภาษีการค้าตามคำสั่งกรมสรรพากรด่วนที่ 3952/2497 ลง 19 มีนาคม 2497 แต่จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 จะมอบหมายหน้าที่นี้ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปฏิบัติจำเลยที่ 3 ก็ต้องควบคุมให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ถูกต้อง แต่จำเลยที่ 3 ไม่ควบคุมแต่อย่างใด และมิได้ตรวจตามวิธีการตามคำสั่งด้วยตนเองซ้ำอีก จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ไม่พบการทุจริตของนายสถิตย์ และมิได้จัดการแก้ไขดำเนินการป้องกันการกระทำทุจริตของนายสถิตย์จำเลยที่ 3 มีหน้าที่ต้องออกไปตรวจตัดปีการเก็บภาษีการค้าและภาษี อื่นยังอำเภอและกิ่งอำเภออีกตามคำสั่งที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีที่อำเภอเมืองอุดรธานีตามระเบียบกล่าวคือจำเลยที่ 3 ได้เอาแบบ ร.ด.8 ที่ยังมิได้ตรวจสอบให้ถูกต้องกับแบบ ภ.ค.4 ที่อำเภอส่งมายังสรรพากรจังหวัดนั้นไปทำการตรวจสอบยันกับหลักฐานการเก็บภาษีการค้าของอำเภอเมืองอุดรธานี และในเดือนทำการตรวจซึ่งยังไม่ถึงกำหนดจัดทำ ร.ด.8 หรือจัดทำ ร.ด.8 แล้ว แต่ยังมิได้ตรวจสอบกับ ภ.ค.4 นั้น ก็มิได้นำใบเสร็จรับเงินและแบบ ภ.ค. ซึ่งส่งมายังสรรพากรจังหวัดไปตรวจสอบกับใบเสร็จรับเงินและ ภ.ค.4 ที่อำเภอเป็นราย ๆ ไป จึงไม่พบการทุจริตของนายสถิตย์ การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้นายสถิตย์ ยักยอกเงินแผ่นดินดังกล่าวข้างต้นไปเป็นเงิน 123,009 บาท 14 สตางค์โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 123,009 บาท 14 สตางค์ ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ยังมิได้ยื่นคำให้การแก้คดี โจทก์ได้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ไป ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยที่ 2 ให้การว่า การที่นายสถิตย์ ยักยอกเงินไปนั้นมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแต่ประการใด คดีนี้ขาดอายุความแล้วฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยว่า จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจสอบแบบ ภ.ค.4 และ แบบ ร.ด.8 นั้น เป็นแบบ ภ.ค.4 ฉบับเลขรับที่เท่าใด ลงวันที่เท่าใด มีกี่ฉบับ จำเลยที่ 3 ต่อสู้ไม่ได้ถูกต้องและไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างชัดแจ้ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เพราะคณะกรรมการสอบสวนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีแต่งตั้งขึ้นโดยชอบมีมติว่า จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดชอบใช้เงิน และคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กรมสรรพากร ก็ลงมติว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้เงินไม่เป็นการละเมิด ทั้งเงินที่โจทก์อ้างว่าเสียหายทั้งหมดตามฟ้องยังไม่เป็นเงินที่กรมการอำเภอเมืองอุดรธานีนำฝากคลังจังหวัดอุดรธานีตามกฎหมาย แต่เป็นยอดเงินที่แตกต่างกันระหว่างเอกสารเท่านั้น โจทก์จึงยังไม่เป็นผู้เสียหายผู้เสียหายคือจังหวัดอุดรธานีและกรมสรรพากรซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ใบมอบอำนาจของโจทก์เป็นใบมอบอำนาจที่ไม่ถูกต้อง บัญชีรายละเอียดที่โจทก์ยื่นมานั้นไม่ถูกต้อง ไม่มีลายเซ็นชื่อของสมุหบัญชีและนายอำเภอเมืองอุดรธานี เป็นผู้ลงนามเก็บเงินตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช 2457 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2489) มาตรา 127, 129 และประมวลรัษฎากร มาตรา 11 การตรวจพบการทุจริตครั้งนี้ก็เป็นความสามารถของจำเลยที่ 3 เอง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาและยังมิได้สืบพยาน โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ไป ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดใช้เงิน 123,009 บาท14 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า นายสถิตย์ วัฒนก้านตง เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอเมืองอุดรธานีได้ทุจริตยักยอกเงินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล รายได้ของจังหวัดและสุขาภิบาล อากรแสตมป์ที่ชำระเป็นตัวเงินไปในระหว่างปี พ.ศ. 2503 ถึงปี พ.ศ. 2505 รวมเป็นเงิน 123,009 บาท 14 สตางค์

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของนายสถิตย์ วัฒนก้านตง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้นายสถิตย์ ทุจริตยักยอกเงินไปในปี พ.ศ. 2504 เป็นเงิน 1,087 บาท 30 สตางค์ และในปี พ.ศ. 2505 เป็นเงิน 121,921 บาท 84 สตางค์ การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าทีโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ตรวจแบบ ภ.ค.4 และ ร.ด.8 ฉบับใด เดือนใด ปีใดจำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหนนั้น ก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบ ทั้งคดีก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เพราะเงินที่นายสถิตย์ ยักยอกไปยังมิได้นำส่งเข้าเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดิน จึงไม่ใช่เงินของกระทรวงการคลัง โจทก์ นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินที่นายสถิตย์ ยักยอกไปตามที่ศาลฟังข้อเท็จจริงมานั้น เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดเก็บจากผู้เสียภาษีอากร กรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เงินภาษีอากรดังกล่าวเมื่อนายสถิตย์ผู้เป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บมาได้ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ใบมอบอำนาจโจทก์ไม่ถูกต้อง เพราะมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องเท่านั้น การที่ทนายโจทก์ดำเนินการอื่นใดนอกจากการฟ้องร้องจึงเป็นโมฆะนั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องย่อมรวมถึงการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 3 จึงปราศจากสาระเช่นกัน

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้รายงานเรื่องการทุจริตรายนี้พร้อมทั้งตัวผู้จะพึงต้องรับผิดต่อกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังโจทก์แล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2507 จะถือเอาการทราบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพียงคนเดียวเป็นหลักวินิจฉัยเรื่องอายุความจึงยังไม่ถูกต้อง นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกรณีที่ข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการและต้องใช้ค่าเสียหายนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่กรมหรือกระทรวง คืออธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้ว คดีนี้ได้ความว่านายสถิตย์ วัฒนก้านตง ซึ่งเป็นผู้ยักยอกทรัพย์รายพิพาทเป็นเสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอเมืองอุดรธานีเป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากร ทรัพย์ที่ถูกยักยอกไปก็เป็นทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคลย่อมมีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้น ถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้อง คดีก็ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง เมื่อกระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวก็ต้องถือว่าฟ้องขาดอายุความเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505 ระหว่างกระทรวงการคลังโจทก์ นายพิมพ์ โสมนัส กับพวก จำเลย คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่ากรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้จะต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ตั้งแต่เมื่อใด ได้ความตามคำเบิกความของนายประมวล สุวรรณวัฒนะ พยานโจทก์ว่า การพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งสำหรับคดีนี้ กรมสรรพากรได้ประชุมพิจารณา 3 ครั้ง นายประมวล ได้ร่วมประชุมด้วย 2 ครั้ง คือครั้งที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนการประชุมครั้งที่ 3 นายประมวลทราบว่าได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2509 โดยจำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำชี้แจงในวันนั้นด้วยตามเอกสารหมาย จ.8 ผลของการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แต่ให้จำเลยที่ 1 รับผิดแต่ผู้เดียว นายประมวลได้ทำรายงานตามมติการประชุมครั้งที่ 3 ให้กระทรวงการคลังพิจารณาเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2509 ที่สุดกระทรวงการคลังสั่งให้จำเลยทั้งสามคนร่วมรับผิดร่วมกันได้ความดังนี้ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำเบิกความของนายประมวลพยานโจทก์ประกอบกับเอกสารหมาย จ.8 แล้ว ปรากฏว่าในการประชุมครั้งที่ 3 อันเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายนั้น ได้ประชุมกันในวันที่ 28 กันยายน 2509 และในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำชี้แจงตามเอกสารหมาย จ.8 ต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่ในที่ประชุมได้บันทึกลงในเอกสารหมาย จ.8 เป็นใจความว่า จำเลยที่ 3 ได้นำคำชี้แจงฉบับนี้มาอ่านให้ที่ประชุมฟัง เมื่อจำเลยที่ 3 อ่านจบแล้ว อธิบดีกรมสรรพากรประธานที่ประชุมได้ให้ อ.ก.พ. กรมซักถามข้อความต่าง ๆ ตามสมควรแล้วสั่งให้รับคำชี้แจงของจำเลยที่ 3 ไว้ บันทึกที่ว่านี้ลงวันที่ 28กันยายน 2500 อันเป็นวันที่ประชุมครั้งที่ 3 นั้นเอง ผลของการประชุมครั้งที่ 3 นี้ นายประมวลเบิกความว่า ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แต่จำเลยที่ 1 รับผิดแต่ผู้เดียว ย่อมแสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้จะต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันที่ 28 กันยายน 2509 อันเป็นวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อหาตัวผู้จะต้องรับผิดนั่นเอง กระทรวงการคลังเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2510 ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อนั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายประมวล สุวรรณวัฒนะ หัวหน้าแผนกควบคุมการเงินกองระเบียบบัญชีกรมสรรพากร นายสมพงษ์ ศรีโพธิ์สุข ประจำแผนกควบคุมการเงินในกองดังกล่าว และนายสอาด งามเหมาะ ข้าราชการบำนาญผู้เคยดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดอุดรธานีสืบแทนจำเลยที่ 3 ประกอบกับหนังสือของกรมสรรพากรที่ 3952/2497 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2497 เรื่องการตรวจตัดปีเงินผลประโยชน์ประเภทภาษีการค้าและภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ (หมาย จ.4) แล้ว เห็นได้ว่าการเก็บภาษีประเภทดังกล่าวเป็นรายเดือน ในเดือนหนึ่ง ๆ แต่ละอำเภอมีผู้เสียภาษีเป็นจำนวนมาก การตรวจตัดปี หากจะทำการตรวจหลักฐานการเรียกเก็บเงินและหลักฐานการรับเงินในคราวเดียวกันต่อเมื่อสิ้นปีแล้วย่อมต้องใช้เวลาทำการตรวจอยู่มาก กรมสรรพากรจึงกำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้เป็นรายเดือน มีรายละเอียดวิธีการตรวจเป็นข้อ ๆ ตามที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวนั้น หนังสือฉบับนี้ระบุบ่งให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบซึ่งทำให้เห็นความมุ่งหมายของกรมสรรพากรได้อย่างชัดแจ้งว่า เพื่อให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดแต่ละจังหวัด ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรจะได้ทราบเป็นรายเดือนไปว่าประเภทเงิน จำนวนเงินที่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษี อัตราภาษี จำนวนเงินภาษีตามที่ผู้ประกอบการค้าแจ้งมา และจำนวนเงินภาษีที่เจ้าพนักงานได้รับไว้นั้นเป็นการถูกต้องตรงกันหรือไม่ กรณีชำระภาษีเกินกำหนด เจ้าพนักงานอำเภอได้เรียกและรับเงินเพิ่มภาษีไว้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าจำนวนเงินไม่ตรงกันหรือการเก็บภาษีไม่ถูกต้องสรรพากรจังหวัดจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดอุดรธานีได้ปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการในเอกสารหมาย จ.4 นี้ทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบ ภ.ค.4 กับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่ง ๆ ในแบบ ร.ด.8 ช่อง 5 และช่อง 10 ไม่ตรงกัน และเหตุที่ไม่ตรงกันนี้ก็เพราะนายสถิตย์ วัฒนก้านตง เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอเมืองอุดรธานีได้กระทำการทุจริตโดยวิธีต่าง ๆ ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ที่โจทก์อ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวมาแล้วว่า นายสถิตย์ ได้เริ่มทำการทุจริตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 แต่ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 3 เองว่า จำเลยที่ 3 เพิ่งตรวจพบยอดเงิน ใน แบบ ภ.ง.ด.9 กับแบบ ภ.ค.4 ไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ. 2505 และที่เริ่มตรวจพบเช่นนั้นก็เพราะจำเลยที่ 3 สังเกตเห็นในปลายปี พ.ศ. 2505 ว่า รายได้ภาษีอากรของอำเภอเมืองอุดรธานีตกต่ำดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยที่ 3 มิได้ปฏิบัติให้ต้องตามระเบียบว่าด้วยการตรวจตัดปีภาษีการค้าเป็นรายเดือนเพราะมิฉะนั้นแล้วไหนเลยจึงเพิ่งมาทราบการทุจริตของนายสถิตย์ เอาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2505 ข้อสนับสนุนอีกข้อหนึ่งที่แสดงว่าจำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจดังกล่าวก็คือ อากรแสตมป์ซึ่งจะต้องปิดในแบบ ภ.ค.4 ฉบับละ 20 สตางค์ ก็ปรากฏว่ามีแบบ ภ.ค.4 มากฉบับที่อำเภอเมืองอุดรธานีส่งไปยังแผนกสรรพากรจังหวัด มิได้ปิดอากรแสตมป์ ซึ่งถ้าจำเลยที่ 3 ได้ทำการตรวจก็จะสดุดตาพบเห็นได้โดยง่าย แล้วจะได้จัดการให้มีการปิดเสียให้ถูกต้อง แต่แล้วแบบ ภ.ค.4 เหล่านั้นก็ได้ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีการปิดอากรแสตมป์มาจนปรากฏขึ้นในชั้นศาลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การตรวจแบบ ภ.ค.4 สอบกับยอดเงินตามแบบ ร.ด.8 นี้ คำสั่งของกรมสรรพากรดังกล่าวข้างต้นระบุไว้ว่าเป็นหน้าที่ของผู้เป็นสรรพากรจังหวัด แม้จำเลยที่ 3 จะอ้างว่าได้มอบให้นายวีระกลางโยธี จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตามจำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนายสถิตย์ วัฒนก้านตงก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้ ปรากฏตามหนังสือของกระทรวงการคลังที่ 47478/2480 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2480 (เอกสารหมาย จ.13) ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรหรือสิทธิในภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์แล้ว ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าการทุจริตของนายสถิตย์และความเสียหายของโจทก์เป็นความรับผิดชอบของคณะกรมการอำเภอเมืองอุดรธานี มิใช่ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดจึงไม่ใช่ผลโดยตรงอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 3 นั้นฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาฎีกาที่ 22/2511 ที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นอ้าง ข้อเท็จจริงก็หาตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่

พิพากษายืน

Share