แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอแบ่งเงินกองกลางของครอบครัวที่โจทก์ร่วมกับพี่น้องหามาได้ร่วมกัน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับเงินจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นมรดกของบิดาในฐานะผู้จัดการมรดกแล้ว นำไปซื้อฝากที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์ ถือว่าจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแทนพี่น้อง รวมทั้งโจทก์ด้วย โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ขอแบ่งส่วนที่ดินได้ จึงเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 แบ่งเงินให้แก่โจทก์ 4,000,000 บาท และส่วนแบ่งค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แก่โจทก์เดือนละ 32,000 บาท นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์เป็นเวลา 20 ปี และให้จำเลยที่ 2 แบ่งเงินให้โจทก์ 1,000,000 บาท และชำระค่าเพิ่มขึ้นของที่ดินอีกเดือนละ 6,250 บาท นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์เป็นเวลา 20 ปี
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 16133 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 50.99 ตารางวา ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน มีพี่น้องรวม 8 คน จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายลี้ลิ่มตั้งหรือนายลิ้มตั้ง บิดา ได้นำเงินจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของบิดาไปซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 16133 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทปราการ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ต้องแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 16133 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 50.99 ตารางวา ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 นำเงินที่ครอบครัวทำมาหาได้ร่วมกันอันเป็นเงินกองกลางจำนวน 1,000,000 บาท ไปซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 16133 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จนได้กรรมสิทธิ์ ปัจจุบันที่ดินมีราคาอย่างต่ำ 13,000,000 บาท แต่โจทก์ขอแบ่งส่วนของโจทก์เป็นเงินเพียง 1,000,000 บาท และขอให้บังคับจำเลยที่ 2 จ่ายค่าเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินแก่โจทก์อีกเดือนละ 6,250 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นระยะเวลา 20 ปี จำเลยที่ 2 ให้การและนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดา ได้นำเงินจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของบิดาไปซื้อฝากที่ดินโดยได้บอกกล่าวและได้รับความยินยอมจากมารดาและพี่น้องทุกคน ทั้งได้ยกอายุความฟ้องร้องการจัดการมรดกขึ้นต่อสู้ด้วย ดังนี้ กรณีจึงเป็นเรื่องโจทก์ตั้งเรื่องฟ้องคดีขอแบ่งเงินกองกลางของครอบครัวที่โจทก์ร่วมกับพี่น้องหามาได้ร่วมกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 แบ่งส่วนของโจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมเงินค่าเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินอีกเดือนละ 6,250 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินจำนวน 1,000,000 บาท นั้น เป็นทรัพย์มรดกของบิดาที่นำไปซื้อฝากไว้ จึงมิใช่เงินกองกลางที่เกิดจากการดำเนินกิจการในครอบครัวที่พี่น้องช่วยกันทำมาหาได้ร่วมกันตามที่โจทก์บรรยายและมีคำขอมาในฟ้องแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้รับเงินจำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของบิดาในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดาจะต้องนำมาแบ่งแก่ทายาท การที่จำเลยที่ 2 นำเงินไปซื้อฝากที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนพี่น้องอีก 7 คน รวมทั้งโจทก์ด้วย การที่จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาคำมั่นจะให้ทรัพย์สินกับมารดา นายสุทธิชัย นางสาวสุวรรณีและนางสุภา โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ตกลงจะไม่รับส่วนของโจทก์ในที่ดินด้วย โจทก์ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ขอแบ่งส่วนที่ดินให้จำเลยที่ 2 แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 16133 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 50.99 ตารางวา ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยเกินคำฟ้องและคำขอของโจทก์อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ปัญหานี้ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ