คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12501/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่จะมีผลให้ถือว่าคำพิพากษาเดิมที่พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดกันเป็นอันเพิกถอนไปในตัว แต่คำพิพากษาที่ถูกเพิกถอนนั้น ก็มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดี หามีผลต่อผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีที่อ้างว่า ถูกกระทบสิทธิเนื่องจากเป็นผู้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์หลังจากศาลมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้วไม่ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยและขอแบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่ง จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้แบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ถ้าการแบ่งเช่นนี้ไม่อาจกระทำได้หรือจะทำให้ทรัพย์สินนั้นเสียหายมากให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์และจำเลยก่อน หากตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2555 ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยมิได้เจตนาขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้เจตนาไม่มาศาลตามกำหนด จำเลยมีทางชนะคดีได้ในวันนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 ศาลชั้นต้นสอบโจทก์แล้วไม่คัดค้านการขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดไต่สวนคำร้องและอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ระหว่างพิจารณาคดีใหม่โจทก์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557
วันที่ 19 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดและขอแก้ไขคำร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 อ้างเหตุผู้ร้องสอดถูกโต้แย้งสิทธิจึงจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอด เนื่องจากผู้ร้องสอดได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยสุจริตเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลย การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลย คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยเป็นอันเพิกถอนไปในตัว มีผลกระทบต่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้จำเลยพิจาณาคดีใหม่เนื่องจากเป็นคำขอพิจารณาคดีใหม่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเพิกถอนกระบวนพิจารณาต่อเนื่องทั้งหมดโดยให้ดำเนินการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีและเรียกทายาทอื่นของโจทก์เข้าแทนที่คู่ความมรณะ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเมื่อศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่และคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 (1) ยกคำร้อง วันที่ 20 มีนาคม 2557 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีสิทธิส่วนบุคคล เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของผู้ร้องสอดทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดมีสิทธิยื่นคำร้องสอดหรือไม่ เห็นว่า เดิมเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยและขอแบ่งสินสมรส ศาลพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวเนื่องจากจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยได้ แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาต การที่หลังจากศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์ จำเลย หย่าขาดจากกันก็มีผลผูกพันเฉพาะโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดี หามีผลต่อผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีไม่และเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ฟ้องหย่าและขอแบ่งทรัพย์สินถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีใหม่ การถึงแก่ความตายของคู่สมรสย่อมทำให้การสมรสสิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 และต้องแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นับแต่เวลาที่การสมรสสิ้นสุดตาม มาตรา 1625 ฉะนั้น ผู้ร้องสอดจึงไม่ถูกกระทบสิทธิแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share