แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9(3)โจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ไม่ว่าหนี้จะถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ แม้หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระตามคำบังคับก็ตามโจทก์ก็นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 เมษายน2532 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5984/2532 ให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาขายลดเช็คจำนวนเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาและจำเลยไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ที่โจทก์จะยึดมาชำระหนี้ได้คิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมจำนวนเงิน579,424.64 บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
จำเลยให้การว่า ปัจจุบันจำเลยยังคงประกอบธุรกิจอยู่และสามารถผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จึงไม่เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้มีหนี้สินล้นล้นตัวนั้น เห็นว่า นอกจากจำเลยจะเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5984/2532คือหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นเงินรวมถึง579,424.64 บาท แล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอีกถึง 1,000,000 บาทเศษ และจำเลยเองก็นำสืบรับว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินในที่จะชำระหนี้ทั้งสองจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ได้ส่วนที่จำเลยนำสืบกล่าวอ้างว่าจำเลยมีรายได้เดือนละ 30,000 ถึง40,000 บาทนั้น ถึงหากจะฟังว่าเป็นความจริง รายได้ของจำเลยดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ คดีจึงฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้นและที่จำเลยฎีกาว่าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5984/2532 ยังไม่ถึงกำหนดชำระตามคำบังคับของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 9(3) โจทก์จะฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ ไม่ว่าหนี้ดังกล่าวจะถึงกำหนดชำระแล้วหรือไม่ ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาของจำเลยนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษายืน