คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวัสดุโทรทัศน์ได้ร่วมกันมีวิดีโอเทปภาพยนตร์เรื่องมังกรหยกจำนวน 12 ม้วนซึ่งจำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมกับวิดีโอเทปเรื่องอื่น ๆ อีกจำนวน 472 ม้วน ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจเทปและวัสดุโทรทัศน์ไว้ในสถานที่ประกอบกิจการของตนขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 35 และขอให้ริบเฉพาะวิดีโอเทปเรื่องอื่น ๆ ดังกล่าวจำนวนเพียง 472 ม้วนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบวิดีโอเทปของกลางทั้งหมดจำนวน 484 ม้วน จำเลยอุทธรณ์ว่า ของกลางที่โจทก์อ้างว่ามิได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากเจ้าพนักงานนั้น เป็นเพียงมิได้เสนอให้เจ้าพนักงานตรวจเสียก่อนตามขั้นตอนเท่านั้นหากวิดีโอเทปดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของเจ้าพนักงานก็อาจได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานก็ได้ เมื่อโจทก์ มิได้นำสืบให้ศาลเห็น ไม่สมควรริบ และต้องคืนของกลางแก่จำเลยการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าวิดีโอเทปของกลางทั้งหมดจำนวน 484 ม้วน ที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงาน และจำเลยเป็นเพียงผู้ดูแลหรือลูกจ้างของผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิดีโอเทปจำนวน 484 ม้วนไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ศาลจึงไม่ริบ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกหรือเกินไปกว่าที่กล่าวไว้ในอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 นอกจากนี้เมื่อปรากฏว่าในชั้นพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ จำเลยให้การปฏิเสธและจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความต่อสู้ว่า ด.เป็นเจ้าของวิดีโอเทปของกลางทั้งหมด จำเลยไม่ใช่เจ้าของวิดีโอเทปดังกล่าวและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิดีโอเทปของกลางเช่นนี้จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้คืนของกลางดังกล่าวแก่จำเลย และกรณีเช่นว่านี้ศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ดังนี้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และข้ออุทธรณ์ของจำเลยย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อให้ริบของกลางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยนำเอาวิดีโอเทปละเมิดลิขสิทธิ์ของกลางจำนวน 12 ม้วน ออกโฆษณา ขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่าเพื่อการค้า และขอให้พิพากษาให้วิดีโอเทปของกลางดังกล่าวตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยโจทก์ไม่ได้ขอริบนั้นเมื่อไม่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวิดีโอเทปของกลางดังกล่าวเป็นวิดีโอเทปได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วม และศาลชั้นต้นไม่พิพากษาให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นกลับไปพิพากษาให้ริบวิดีโอเทปของกลาง เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งแม้โจทก์และโจทก์ร่วมมิได้อุทธรณ์ และเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเป็นไม่ริบ วิดีโอเทปของกลางนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัทเทเลวิชั่น บรอดแคสท์ จำกัดผู้เสียหายโดยนำเอาแถบบันทึกภาพและเสียง (วิดีโอเทป) อันเป็นโสตทัศนวัสดุซึ่งบันทึกภาพและเสียงภาพยนตร์เรื่อง “มังกรหยกตอนคัมภีร์มารนพเก้า” ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของผู้เสียหาย โดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าแถบบันทึกภาพ(วิดีโอเทป) ดังกล่าวได้มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ทั้งจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายรวมจำนวน 12 ม้วน ออกโฆษณา ขาย เสนอขาย ให้เช่า เสนอให้เช่าเพื่อการค้า และจำเลยกับพวกเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวัสดุโทรทัศน์ในนามนางสาวนฤดี โสภณโภไคย ได้ร่วมกันมีวิดีโอเรื่อง “มังกรหยกตอนคัมภีร์มารนพเก้า” จำนวน 12 ม้วน และเรื่องอื่น ๆอีกจำนวน 472 ม้วน ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและให้ความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานผู้ตรวจเทปและวัสดุโทรทัศน์และไม่มีหมายเลขรหัสประจำเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ประทับไว้ไว้ในครอบครองเพื่อการค้าในสถานที่ประกอบกิจการค้าของจำเลยเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดวิดีโอเทปจำนวน 12 ม้วนและวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจอีกจำนวน 472 ม้วน และเอกสารการให้เช่าอีกจำนวน 12 แผ่น เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 มาตรา 27, 42, 44, 47, 49 และ 50 พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. 2526มาตรา 3 และ 4 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์พ.ศ. 2530 มาตรา 11 และ 35 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91และ 83 และให้วิดีโอเทปละเมิดลิขสิทธิ์จำนวน 12 ม้วน ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์และจ่ายค่าปรับกึ่งหนึ่งแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ริบวิดีโอเทปของกลางที่เหลือทั้งหมดและเอกสารการให้เช่าอีก 12 แผ่น ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทเทเลวิชั่น บรอดแคสท์ จำกัดผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่วิดีโอเทปของกลางจำนวน484 ม้วน ทั้งหมดเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด จึงให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนวิดีโอเทปของกลางจำนวน 484 ม้วน แก่จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาเกี่ยวกับของกลางว่าของกลางที่โจทก์อ้างว่ามิได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากเจ้าพนักงานนั้นโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าแม้จะเสนอเจ้าพนักงานเพื่อตรวจก็จะไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด ของกลางดังกล่าวเป็นเพียงมิได้เสนอให้เจ้าพนักงานตรวจเสียก่อนตามขั้นตอนเท่านั้น ไม่สมควรริบต้องคืนของกลางแก่จำเลย จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงว่าวิดีโอเทปของกลางจำนวน 484 ม้วน ไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากเจ้าพนักงานแต่อย่างใด แต่เป็นอุทธรณ์ที่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าวิดีโอเทปของกลางจำนวน 484 ม้วน ไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากเจ้าพนักงาน และหากวิดีโอเทปดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของเจ้าพนักงาน อาจได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานก็เป็นได้การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าวิดีโอเทปจำนวน 484 ม้วน ที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานจึงเป็นการวินิจฉัยนอกหรือเกินไปกว่าที่กล่าวไว้ในอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 215 นอกจากนี้จำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานก็เบิกความว่า ก่อนถูกจับกุม 1 วัน ขณะที่จำเลยกำลังหาซื้อเสื้อผ้าจำเลยพบกับนางสาวฤดี โสภณโภไคย ซึ่งรู้จักกันมาก่อนนางสาวฤดีบอกให้จำเลยเฝ้าบ้านที่เกิดเหตุให้ 2 ถึง 3 วันโดยนางสาวฤดีจะไปธุระที่ต่างจังหวัด จำเลยจึงเฝ้าบ้านที่เกิดเหตุให้ตามที่นางสาวฤดีขอร้องและถูกจับกุมในวันเกิดเหตุคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเท่ากับจำเลยให้การต่อสู้ว่านางสาวฤดีเป็นเจ้าของวิดีโอเทปของกลางทั้งหมด จำเลยไม่ใช่เจ้าของวิดีโอเทปดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิดีโอเทปของกลางย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้คืนของกลางดังกล่าวแก่จำเลย ตามนัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2504 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดแพร่ โจทก์ นายสน ประทุมเมืองจำเลย ศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ดังนี้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และข้ออุทธรณ์ของจำเลยย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยเป็นเพียงผู้ดูแลหรือลูกจ้างของผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ วิดีโอเทปจำนวน 484 ม้วน ไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33(1) ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับก็ตาม การที่โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ริบของกลางตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้ริบเฉพาะวิดีโอเทปของกลางจำนวน472 ม้วน เท่านั้น ส่วนวิดีโอเทปละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนอีก 12 ม้วนโจทก์ขอให้พิพากษาให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ไม่ได้ขอริบด้วยเมื่อไม่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวิดีโอเทปของกลางจำนวน 12 ม้วน เป็นวิดีโอเทปได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นไม่พิพากษาให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ปัญหาเกี่ยวกับวิดีโอเทปของกลางจำนวน 12 ม้วน ที่ไม่ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นกลับไปพิพากษาให้ริบวิดีโอเทปของกลางจำนวน12 ม้วน นี้ด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่ง และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์ ไม่ริบวิดีโอเทปที่เกี่ยวกับการกระทำอันละเมิดลิขสิทธิ์ตามฟ้องจำนวน 12 ม้วน นอกจากที่แก้คงให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share