คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ถนนทุกสายในหมู่บ้านรวมทั้งถนนซอย ที่จำเลยสร้างประตูเหล็กปิดกั้นเป็นถนนที่เจ้าของที่ดินผู้จัดสรรสร้างไว้เพื่อเป็นที่สาธารณูปโภคแก่เจ้าของที่ดินและบ้านในหมู่บ้านทุกแปลง โจทก์เคยใช้ถนนซอย ดังกล่าวเป็นที่กลับรถยนต์มาก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กปิดกั้น เมื่อถนนซอย นี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ในการกลับรถยนต์ได้ ถนนซอย ดังกล่าวจึงมิใช่มีไว้เพียงเพื่อเป็นทางเข้าออกบ้านของจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นจึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้กลับรถยนต์ได้ แม้ประตูเหล็กไม่ได้ใส่กุญแจโจทก์สามารถที่จะเปิดประตูกลับรถยนต์ได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการสะดวก การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนซอยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สะดวกในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อประตูเหล็กออกไปได้ แม้ลักษณะของอาคารที่จำเลยสร้างจะเป็นการสร้างหลังคาคลุมถนนซอย มีความสูงเหนือกำแพงรั้วด้านข้างของบ้านโจทก์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างติดกับรั้วบ้านโจทก์ หลังคาของอาคารเกือบจะติดกับหลังคาบ้านโจทก์ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวแม้จะมีช่องว่างระหว่างรั้วบ้านโจทก์กับหลังคาอาคารเพื่อให้แสงสว่างและลมผ่านไปได้ แต่แสงสว่างและลมก็ไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติเหมือนอย่างเช่นที่ไม่มีหลังคาอาคาร การที่จำเลยสร้างอาคารคลุมถนนซอย สาธารณะโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ ปิดบังทางของแสงสว่างและลมที่จะเข้าไปในบ้านของโจทก์ได้ตามปกติย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรืออย่างน้อยก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคาดคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้ออาคารออกไปจากถนนซอย สาธารณะได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้สร้างประตูเหล็กปิดกั้นถนนอันเป็นสาธารณูปโภคของที่ดินจัดสรรบางส่วน แล้วใช้ถนนที่ปิดกั้นไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ต้อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2528 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสร้างอาคารชั้นเดียว มีหลังคาแต่ไม่มีผนังขึ้นบนถนนส่วนที่จำเลยที่ 1 ได้สร้างประตูเหล็กปิดกั้นไว้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ใช้อาคารดังกล่าวเป็นโรงจอดรถ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์เพราะทำให้โจทก์และบริวารไม่อาจใช้ถนนส่วนที่จำเลยปิดกั้นเป็นที่กลับรถยนต์ได้ และโรงจอดรถที่จำเลยทั้งสองสร้างขึ้นยังได้บังทิศทางลมและแสงแดด ทำให้บ้านของโจทก์ไม่ได้รับลมและแสงแดดตามปกติที่คยเป็นมาก่อน ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนประตูรั้วเหล็กและอาคารชั้นเดียวที่เป็นโรงรถออกไปจากทางสาธารณประโยชน์ กับให้าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 6,550 บาทแก่โจทก์และค่าเสียหายเป็นเงินวันละ 50 บาท นับแต่วันฟัองจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนประตูเหล็กและโรงรถออกไปจากทางสาธารณประโยชน์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดต่อดจทก์เพราะถนนที่มีการปลูกสร้างกันนั้นเป็นถนนที่ทางหมู่บ้านพันธุ์ทิพย์2 สร้างขึ้นเพื่อให้ใช้ประโยชน์เป็นทางเข้าออกเฉพาะบ้านของจำเลยทั้งสองซึ่งปลูกอยู่ทางด้านในห่างจากถนนกลางของหมู่บ้านเท่านั้นหาได้เป็นถนนที่สร้างไว้เพื่อให้โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ร่วมด้วยไม่ก่อนที่จะทำการปลูกสร้างลงไปจำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตจากทางหมู่บ้านพันธุ์ทิพย์ 2 แล้ว การปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะประตูเหล็กนั้นจำเลยไม่ได้ปิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะถนนดังกล่าวไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่อย่างใดทั้งสิ้น ทางเข้าออกบ้านของจำเลยทั้งสองนั้นด้านข้างทั้งสองเป็นกำแพงทึบโดยตลอด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์ที่จะมามีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นจำนวนสูงเกินความเป็นจริงและไม่ควรขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนประตูเหล็ก และให้จำเลยที่ 1 กับ จำเลยที่ 2 ร่วมกันรื้อถอนอาคารชั้นเดียวตามรายละเอียดที่ปรากฏในแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมาย 6 ออกไปจากทางสาธารณประโยชน์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจท์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างซื้อบ้านและที่ดินจัดสรรหมู่บ้านพันธุ์ทิพย์ 2ไว้คนละแปลง โดยโจทก์ได้ซื่อบ้านเลขที่ 210/23 ซึ่งปลูกในที่ดินแปลงที่ 12132 ติดกับถนนใหญ่กว้าง 4.5 เมตร และติดกับถนนซอยกว้าง 3 เมตร อันเป็นถนนเข้าบ้านเลขที่ 210/28 ซึ่งปลูกในที่ดินแปลงเลขที่ 12131 ของจำเลยที่ 1 และบ้านเลขที่ 210/29 ซึ่งปลูกในที่ดินแปลงเลขที่ 12129 ของจำเลยที่ 2 ปรากฏตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลขที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2524 จำเลยที่ 1ได้สร้างประตูเหล็กที่ปากซอยทางเข้าบ้านและที่ดินจำเลยทั้งสองและในปี พ.ศ. 2528 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันก่อสร้างอาคารที่จอดรถมีขาดกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 12 เมตร สูงประมาณ3 เมตร ขึ้นบนถนนซอยที่ปิดกั้นนั้นอีก
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่ เห็นว่าถนนทุกสายในหมู่บ้านพันธุ์ทิพย์ 2 รวมทั้งถนนซอยที่จำเลยที่ 1 สร้างประตูปิดกั้นเป็นถนนที่เจ้าของที่ดินผู้จัดสรรสร้างไว้เพื่อเป็นสาธารณูปโภคแก่เจ้าของที่ดินและบ้านในหมู่บ้านดังกล่าวทุกแปลง เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 จะสร้างประตูเหล็กดังกล่าว โจทก์ได้ใช้ถนนซอยนี้เป็นที่กลับรถยนต์จำเลยทั้งสองให้การว่า การสร้างประตูเหล็กไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะประตูเหล็กไม่ได้ปิดจำเลยทั้งสองเคยเอื้อเฟื้อให้โจทก์และริวารใช้เป็นที่กลับรถยนต์มาอย่างไร โจทก์และบริวารก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการกลับรถยนต์ได้อยู่เช่นเดิมเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์ได้เคยใช้ถนนซอยดังกล่าวเป็นที่กลับรถยนต์มาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะสร้างประตูเหล็กปิดกั้น เมื่อถนนซอยนี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ในการกลับรถยนต์ได้ ถนนซอยดังกล่าวจึงมิใช่มีไว้เพียงเพื่อเป็นทางเข้าออกบ้านของจำเลยทั้งสองเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1ทำประตูเหล็กปิดกั้นจึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้กลัยรถยนต์ได้ แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าประตูเหล็กไม่ได้ปิดใส่กุญแจโจทก์สามารถที่จะเปิดประตูกลับรถยนต์ได้ แต่การกระทำดังกล่าวก็ไม่เป็นการสะดวกการที่จำเลยที่ 1 ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนซอยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สะดวกในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนซอยให้รื้อถอนประตูเหล็กออกไปได้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่โจทก์ไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนซอยดังกล่าวไม่ถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนเรื่องที่จำเลยทั้งสองได้สร้างอาคารบนถนนซอยนั้น เห็นว่าแม้ลักษณะของอาคารตามภาพถ่ายหมาย จ.5 เป็นการสร้างหลังคาคลุมถนนซอยมีความสูงเหนือกำแพงรั้วด้านข้างของบ้านโจทก์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างติดกับรั้วบ้านโจทก์ หลังคาของอาคารเกือบจะติดกับหลังคาบ้านโจทก์ ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว แม้จะมีช่องว่างระหว่างรั้วบ้านโจทก์กับหลังคาอาคารเพื่อให้แสงสว่างและลมผ่านไปได้ แต่แสงสว่งและลมก็ไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติเหมือนอย่างเช่นที่ไม่มีหลังคาอาคาร การที่จำเลยทั้งสองสร้างอาคารคลุมถนนซอยสาธารณะโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ ปิดบังทางของแสงสว่างและลมที่จะเข้าไปในบ้านของโจทก์ได้ตามปกติ เช่นนี้ ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือย่างน้อยก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคาดคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นตามปกติโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สร้างอาคารให้รื้อถอนอาคารออกไปจากถนนซอยสารธารณะได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอาคารเป็นหลังคาคลุมถนนซอยไว้มีความสูงโปร่งเหนือกำแพงรั้วบ้านโจทก์อากาศสามารถถ่ายเทไปมาได้ โจทก์ไม่เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share