คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ทำงานเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 นำมาให้ซ่อมไปเพื่อทดลองเครื่อง อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานซ่อมรถตามหน้าที่ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
สามีภริยาย่อมมีหน้าที่จะต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 เมื่อภริยาเสียชีวิตเพราะมีการทำละเมิด สามีย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 443 วรรคสาม โดยไม่ต้องคำนึงว่าสามีจะยากจนหรือมั่งมี และประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ เพราะเป็นสิทธิของสามีจะพึงได้รับชดใช้ตามกฎหมาย
มารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วเฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคสอง บุตรซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและไม่ได้ความชัดว่าเป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ จึงไม่อยู่ในข่ายจะได้รับค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 443 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นสามีของนางพรสุรีย์ โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นบุตรของโจทก์ที่ ๑ กับนางพรสุรีย์ จำเลยที่๒ ตั้งร้านจำหน่ายและรับซ่อมรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้าง จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างโดยนำรถจักรยานยนต์ซึ่งลูกค้าของจำเลยที่ ๒ เอามาให้ซ่อมออกไปขับขี่ทดลองเครื่อง จำเลยที่ ๑ ขับขี่รถคันดังกล่าวด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนนางพรสุรีย์ถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งห้าเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ ๑๓๗,๙๘๘ บาท และโจทก์ทั้งห้าคิดค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน ๔๘๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ กระทำนอกเหนือจากทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกสูงเกินไป โจทก์ไม่ควรได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเพราะโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถประกอบอาชีพด้วยตนเองได้ไม่ได้เป็นบุคคลทุพพลภาพ และไม่ถือว่าโจทก์ขาดการอุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งห้า ๒๖๖,๘๗๑ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งลูกค้าของจำเลยที่ ๒ นำมาให้ซ่อมโดยประมาท และเชื่อว่า จำเลยที่ ๑เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ทำงานเป็นช่างซ่อมรถจักรยานยนต์และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปเพื่อทดลองเครื่องอันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ซ่อมรถตามหน้าที่ ต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕
ปัญหาอีกข้อในเรื่องจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดเพียงใดนั้นเห็นว่าค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพ ที่ศาลล่างกำหนดให้เป็นเงิน ๖๖,๘๗๑ บาท โจทก์มีหลักฐานการจ่ายเงินไปจริงตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.๑๒, จ.๑๓ และจำนวนเงินก็ไม่เกินสมควรแก่ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ตาย จึงเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ กับผู้ตายเป็นสามีภริยากัน ย่อมมีหน้าที่จะต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๑ เมื่อผู้ตายเสียชีวิตเพราะมีการทำละเมิด โจทก์ที่ ๑ ผู้เป็นสามีจึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรคสาม โดยไม่ต้องคำนึงว่า โจทก์ที่ ๑ จะยากจนหรือมั่งมีและประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่ ๑ จะพึงได้รับชดใช้ตามกฎหมาย แต่ผู้ตายมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วเฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๔ วรรคสองเท่านั้น เมื่อโจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วของผู้ตายและไม่ได้ความชัดว่า เป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ จึงไม่อยู่ในข่ายจะได้รับค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ วรรคสาม ที่ศาลล่างให้โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ด้วย จึงไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ ๑ คนเดียวเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อคิดค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพผู้ตายรวมเข้าด้วยเป็นเงิน ๑๐๖,๘๗๑ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ ๖๖,๘๗๑ บาทแก่โจทก์ทั้งห้า และใช้ค่าขาดไร้อุปการะ ๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๑ คนเดียว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share