แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บิดามารดายกที่นาให้แก่พระภิกษุ ข. ภายหลังที่พระภิกษุข.บวชเป็นพระภิกษุ การที่พระภิกษุข.ขายที่นาแปลงดังกล่าวและนำเงินที่ขายได้ไปฝากธนาคาร เงินที่นำไปฝากธนาคารรวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุข.ถึงแก่มรณภาพ เงินฝากดังกล่าวย่อมตกเป็นของวัดโจทก์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุข.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2505 ที่พระภิกษุขำ หรือพระอธิการขำ เกสโร ได้ไปจำพรรษาประจำอยู่ที่วัดโจทก์ระหว่างนั้นพระภิกษุขำได้ขายที่นา 1 แปลง ที่ได้มาในขณะเป็นพระภิกษุ ครั้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2517 พระภิกษุขำได้นำเงินที่ขายที่นาได้จำนวน 40,000 บาท ไปฝากไว้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาพัทลุงโดยระบุให้ตนเองหรือจำเลยมีสิทธิถอนเงินได้ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2525 พระภิกษุขำถึงแก่มรณภาพที่วัดโจทก์โดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ใด เงินที่ฝากธนาคารไว้ดังกล่าวจึงตกเป็นสมบัติของวัดโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุขำตามคำสั่งของศาลชั้นต้นได้ถอนเงินฝากดังกล่าวจากธนาคารรวมทั้งดอกเบี้ยด้วยเป็นเงิน67,111.72 บาท โดยไม่ยอมมอบให้วัดโจทก์ ขอให้จำเลยส่งมอบเงิน67,111.72 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าเงินตามฟ้องเป็นเงินที่พระภิกษุขำได้มาจากการขายที่นาซึ่งตกเป็นของพระภิกษุขำก่อนที่จะอุปสมบท แล้วนำไปฝากธนาคารโดยยกให้จำเลยเป็นค่าอุปการะจำเลยและญาติในการศึกษาเล่าเรียนเงินดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 67,111.72 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (15 เมษายน 2528) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน 66,408.26 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (15 เมษายน2528) เป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินให้โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่า
1. เงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาพัทลุง ของพระภิกษุขำพร้อมด้วยดอกเบี้ยตกเป็นสมบัติของวัดโจทก์หรือไม่
2. พระภิกษุขำได้ยกเงินฝากดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนมรณภาพหรือไม่
ปัญหาข้อแรก โจทก์มีพระมหาบุญมาก จน วํโส เจ้าอาวาสวัดโจทก์องค์ปัจจุบัน นายผุด จันทร์เมือง ไวยาวัจกรวัดโจทก์และนางฉิ้น แสงมณี อุบาสิกาวัดโจทก์มาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พระภิกษุขำบอกพยานทั้งสามว่า เงินฝากธนาคารดังกล่าวได้มาจากการขายที่นา ที่นาดังกล่าวพระภิกษุขำได้รับมาในระหว่างเป็นพระภิกษุ ขายได้เป็นเงิน 48,000 บาท แบ่งให้บิดาของจำเลยซึ่งเป็นหลานไป 8,000 บาท ที่เหลืออีก 40,000 บาท นำไปฝากธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาพัทลุง เพื่อใช้สำหรับสร้างโบสถ์วัดโจทก์ซึ่งพระภิกษุขำเป็นผู้สร้างวัดโจทก์ขึ้นมาเหตุที่ใส่ชื่อจำเลยให้มีสิทธิถอนเงินได้ด้วยเพื่อความสะดวกในเวลาจะใช้เงินจะได้ให้จำเลยไปถอนมา เนื่องจากพระภิกษุขำอายุมากแล้วจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและนำนายปลอด ตาแก้ว บิดาของจำเลยมาเป็นพยานเบิกความประกอบว่า พระภิกษุขำเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางนุ่ม เพ็งเนียม ซึ่งเป็นยายของนายปลอด พระภิกษุขำได้ที่นามาจากบิดาและมารดาของตนก่อนบวชเป็นสามเณรและให้ตาของนายปลอดทำนาในที่นาดังกล่าวเมื่อตาของนายปลอดเสียชีวิตแล้วให้บิดาของนายปลอดทำนาต่อมา เมื่อบิดาของนายปลอดเสียชีวิตแล้วพระภิกษุขำก็ให้นายปลอดทำนาต่อมาจนกระทั่งขายที่นาให้นางเยาวภา นุดล ไป ในราคา 48,000 บาท แบ่งให้นายปลอดไป 8,000 บาท ที่เหลืออีก 40,000 บาท พระภิกษุขำยกให้จำเลยเพื่อใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนของจำเลยและน้อง ๆ โดยให้จำเลยนำเงินไปฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาพัทลุง และใส่ชื่อพระภิกษุขำไว้ด้วยเพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงิน ศาลฎีกาเห็นว่าตามสมุดทะเบียนประวัติภิกษุ เอกสารหมาย จ.4 (แผ่นที่ 3)ปรากฏว่าพระภิกษุขำเกิดเมื่อ พ.ศ. 2435 บวชเป็นสามเณรเมื่อพ.ศ. 2453 และบวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. 2455 อยู่ในสมณเพศเรื่อยมาจนกระทั่งมรณภาพ แสดงว่าพระภิกษุขำบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 18 ปี ดังนั้นที่จำเลยนำสืบว่า บิดามารดาของพระภิกษุขำยกที่นาให้พระภิกษุขำตั้งแต่ก่อนพระภิกษุขำบวชเป็นสามเณรคือตั้งแต่ก่อนพระภิกษุขำอายุ 18 ปี จึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะขณะนั้นพระภิกษุขำอายุยังน้อยและเป็นเด็กอยู่เชื่อว่าบิดามารดาของพระภิกษุขำได้ยกที่นาดังกล่าวให้แก่พระภิกษุขำภายหลังจากพระภิกษุขำบวชเป็นพระภิกษุ คือภายหลังจากพระภิกษุขำอายุครบ 20 ปีแล้ว จึงฟังได้ว่าพระภิกษุขำได้ที่นาดังกล่าวมาภายหลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว การที่ ส.ค.1ของที่นาดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าพระภิกษุขำได้ที่นาดังกล่าวมาประมาณ 50 ปีนั้น ก็เป็นแต่เพียงประมาณเอาเท่านั้น ความจริงอาจได้มาไม่ถึง 50 ปี ก็เป็นได้ ดังนั้นที่นาดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่พระภิกษุขำได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุขำขายที่นาดังกล่าวนำเงินไปฝากธนาคารเงินที่นำไปฝากธนาคารรวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับถือว่าเป็นทรัพย์ที่พระภิกษุขำได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศด้วยเมื่อพระภิกษุขำถึงแก่มรณภาพที่วัดโจทก์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุขำ เงินฝากดังกล่าวย่อมตกเป็นของวัดโจทก์”
พิพากษายืน