แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาที่ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยได้เบิกความเท็จในคดีแพ่งนั้น แม้ศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งจะไม่เชื่อข้อเท็จจริงที่พยานจำเลยนำสืบและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม ก็จะนำเอาผลของคำพิพากษานั้นมาฟังว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จหาได้ไม่ เพราะประเด็นในการวินิจฉัยในคดีแพ่งกับปัญหาวินิจฉัยในคดีอาญาแตกต่างกัน คำพิพากษาในคดีแพ่งก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปหรือไม่อาจโต้แย้งได้ เพราะมิฉะนั้นคู่ความหรือพยานฝ่ายที่แพ้คดีก็จะต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จเสมอไป เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่เบิกความเท็จในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ที่ ๒ ให้รับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันข้อความอันเป็นเท็จมีใจความว่า โจทก์ตัดกระดาษโดยรอบสัญญากู้ทำให้คำว่า “ผู้กู้” “พยาน”ขาดหายไป แล้วพิมพ์ข้อความใหม่ว่า “ผู้คำประกัน” แทน “พยาน” ทำให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งลงลายมือชื่อไว้ในฐานะพยานกลายเป็นผู้ค้ำประกัน ข้อความเท็จดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า แม้คำเบิกความของจำเลยจะเป็นเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๒๖/๒๕๒๔ของศาลแขวงพระนครเหนือซึ่งถึงที่สุดแล้ว โดยโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปและไม่อาจโต้แย้งได้ โจทก์จึงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกนั้น เห็นว่าในคดีแพ่งดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๓๐สิงหาคม ๒๕๒๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑, ที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๒ ลงชื่อในฐานะพยานโดยมีจำเลยที่ ๓, ที่ ๔ เบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลยด้วยนั้น แม้ศาลแขวงพระนครเหนือจะไม่เชื่อข้อเท็จจริงตามที่พยานจำเลยนำสืบและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ตามฟ้องและคดีถึงที่สุดก็ตาม ก็จะนำเอาผลของคำพิพากษานั้นมาว่าฟังคำเบิกความของจำเลยทั้งสี่เป็นเท็จหาได้ไม่ เพราะประเด็นในการวินิจฉัยในคดีแพ่งดังกล่าวกับปัญหาวินิจฉัยในคดีนี้แตกต่างกันทั้งคำพิพากษาในคดีแพ่งก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งที่จะต้องปฏิบัติตามเท่านั้นหาใช่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป หรือไม่อาจโต้แย้งได้ตามที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะมิฉะนั้นคู่ความหรือพยานฝ่ายที่แพ้คดีก็ต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จเสมอไป เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่าคำเบิกความของจำเลยเหล่านี้เป็นเท็จ เช่นมีผู้พิมพ์สัญญากู้หรือผู้รู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งร่วมกับโจทก์ในขณะนั้นมาเบิกความสนับสนุนให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จแต่ในการไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า ใครจะเป็นผู้พิมพ์สัญญากู้ฉบับที่สอง(ฉบับพิพาท) ไม่ทราบ และในวันทำสัญญากู้จำเลยที่ ๓, ที่ ๔ จะอยู่ที่ทำงานหรือไม่ไม่ทราบ พยานอื่น ๆ นอกจากนี้ก็ไม่มี ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีแต่ตัวเองเบิกความเป็นพยาน ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน