แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเช่าอาคารตึกแถวจากโจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าจำเลยได้ส่งค่าเช่าประจำเดือนต่อไปอีก 3 เดือน ไปให้โจทก์ทางไปรษณีย์ธนาณัติแต่โจทก์ก็มิได้เปิดซองนำธนาณัติไปรับเงินดังนี้ แสดงว่าโจทก์มิได้ยินยอมให้จำเลยอยู่ในอาคารตึกแถวที่เช่าต่อไป จึงไม่รับเงินค่าเช่า ทั้งโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งธนาณัติคืนจำเลย เมื่อสัญญาเช่าหมดอายุและโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในตึกที่เช่าต่อไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากอาคารตึกแถวเลขที่ 119/55 ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยเช่าจากโจทก์กับให้จำเลยขนย้ายสัมภาระตลอดจนทรัพย์สินทั้งหมดออกจากอาคารดังกล่าวและส่งมอบอาคารดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้องให้โจทก์เป็นเงิน 60,000 บาทกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 40,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากอาคารดังกล่าวเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับโจทก์มีกำหนด 13 ปี 11 เดือน โดยก่อนทำสัญญาโจทก์ให้คำมั่นว่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์จะให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปี แต่โจทก์ผิดคำมั่นไม่ยอมให้จำเลยทำสัญญาเช่าต่อ และแม้สัญญาเช่าอาคารพิพาทสิ้นกำหนด แต่โจทก์ยินยอมให้จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทดังกล่าวและเก็บเงินค่าเช่าประจำเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม2528 รวม 3 เดือน จากจำเลยถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากอาคารพิพาทจากโจทก์ โจทก์เสียหายอย่างมากไม่เกินเดือนละ150 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทเลขที่ 119/55 ถนนพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานครและให้ส่งมอบตึกพิพาทในสภาพเรียบร้อยคืนโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 30,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 20,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยส่งมอบห้องพิพาทคืนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาในประเด็นแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยได้ตกแต่งตึกแถวเสียเงินไปหนึ่งแสนบาท เนื่องจากโจทก์ให้คำมั่นว่าจะให้เช่าต่อไปอีก5 ปีเมื่อครบกำหนดตามสัญญา ภายหลังโจทก์บ่ายเบี่ยงไม่ให้จำเลยเช่าต่อนั้น จำเลยเบิกความว่า เมื่อจดทะเบียนการเช่าที่อำเภอจำเลยเสียเงินกินเปล่าให้โจทก์หนึ่งแสนบาท กำหนดสัญญาเช่า 13 ปี11 เดือน โดยโจทก์บอกว่า เมื่อครบสัญญาเช่าจะต่อสัญญาให้อีก5 ปี จำเลยเข้าอยู่ในห้องพิพาทได้ก่อสร้างเพิ่มเติมและตกแต่งเสียเงินไปประมาณหนึ่งแสนบาท เห็นว่า ถ้าโจทก์ให้คำมั่นกับจำเลยก่อนทำสัญญาเช่าว่าจะต่อสัญญาให้จำเลยอีก 5 ปี จริง ก็น่าจะจดทะเบียนในวันนั้นเป็น 18 ปี 11 เดือน เสียทีเดียวไม่ต้องรอให้ครบกำหนดสัญญาเดิม ทั้งจำเลยก็เบิกความเพียงลอย ๆ ว่า โจทก์บอกว่าครบสัญญาเช่าแล้วจะต่อสัญญาให้อีก 5 ปี ซึ่งขัดกับสัญญาเช่าหมาย จ.1 ข้อ 11 ที่ระบุว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าผู้เช่าต้องส่งมอบสถานที่เช่าคืนโดยพลัน และที่จำเลยเข้าอยู่ในห้องพิพาทแล้วก่อสร้างและตกแต่งเพิ่มเติมนั้น ก็เพื่อความสะดวกสบายของจำเลยในระยะการเช่านานถึง 13 ปี 11 เดือน หาใช่เพียงเพื่อจำเลยจะได้เช่าต่ออีก 5 ปีไม่ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในประเด็นต่อไปว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วโจทก์ยินยอมให้จำเลยอยู่ต่อถือว่าไม่มีกำหนดเวลา จำเลยได้ส่งค่าเช่าประจำเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2528 ไปให้โจทก์ทางไปรษณีย์ธนาณัตินั้น เห็นว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2528 โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปตามเอกสารหมาย จ.4 แล้ว ธนาณัติค่าเช่า 3 เดือน ที่จำเลยส่งไปตามเอกสารหมาย จ.9-จ.11 โจทก์ก็มิได้เปิดซองนำธนาณัติไปรับเงิน แสดงว่าโจทก์มิได้ยินยอมให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงไม่รับเงินค่าเช่า ทั้งโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งธนาณัติคืนให้จำเลยแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าหมดอายุและโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในตึกที่เช่าต่อไป การอยู่ต่อเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือบอกเลิกการเช่าซึ่งโจทก์ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ จำเลยไม่ทราบและมิได้เซ็นรับ ผู้รับคือนายปรีชา บุตรจำเลยอายุ 15 ปี การบอกเลิกสัญญาเป็นการไม่ชอบนั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านไว้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…”
พิพากษายืน.