แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยส่งสินค้าที่มีคุณภาพชำรุดบกพร่องทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อสินค้า เป็นเหตุให้โจทก์ขายสินค้านั้นไม่ได้ จำเลยต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าว โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215, 387, 391 และ 472
ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 คือ คืนเงินราคาสินค้าที่จำเลยรับไปจากโจทก์ ค่าที่โจทก์ได้ชำระค่าขนส่งสินค้า ค่าวัสดุสำหรับบรรจุหีบห่อสินค้าที่โจทก์จัดซื้อแล้วส่งให้จำเลยและค่าโกดังเก็บสินค้า ซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายพิเศษที่จำเลยควรจะคาดคิดล่วงหน้าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายเก้าอี้ไม้สามขา จำนวน ๗,๙๒๐ ตัวให้โจทก์เพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ราคา ๑๑๔,๘๔๐ บาท จำเลยรับรองคุณภาพของสินค้าที่ซื้อขายและการบรรจุหีบห่อซึ่งกระทำโดยฝ่ายจำเลยว่าอยู่ในสภาพดีทุกประการ หากมีการเรียกร้องค่าเสียหายจากต่างประเทศอันเนื่องมาจากคุณภาพไม่ดีหรือไม่ได้มาตรฐาน หรือการบรรจุหีบห่อไม่ดีหรือขาดตกบกพร่อง ฝ่ายจำเลยยอมชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น จำเลยกระทำผิดสัญญาโดยเมื่อสินค้าส่งไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกาปรากฏว่าผู้ซื้อสินค้าปฏิเสธที่จะรับสินค้าเพราะคุณภาพไม่ดีและไม่ได้มาตรฐาน สินค้าดังกล่าวถูกส่งคืนมายังโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้จำเลยร่วมกันชำระค่าเสียหาย ๒๔๑,๕๖๓ บาท ๓๓ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงขายเก้าอี้ไม้สามขาให้โจทก์ ๕,๐๐๐ ตัว โจทก์จัดหาซื้อเอง ๒,๙๒๐ ตัว แล้วมอบให้จำเลยที่ ๒ บรรจุหีบห่อซึ่งโจทก์จัดหามาให้ เมื่อทำการเสร็จแล้วส่งมอบแก่โจทก์พร้อมกับเก้าอี้ที่โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ ๒ หากมีความชำรุดบกพร่องก็เป็นเก้าอี้จำนวนที่โจทก์จัดซื้อ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ไม่เคยตกลงหรือให้สัญญาต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ จะยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อันเนื่องมาแต่ความไม่ได้มาตรฐานหรือคุณภาพหรือการบรรจุหีบห่อบกพร่อง เพราะการซื้อขายดังกล่าวเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตามคุณภาพ คุณสมบัติและมาตรฐานที่ปรากฏในสินค้าในขณะทำการซื้อขาย จำเลยที่ ๒ ไม่รับรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขหรือข้อสัญญาใดๆ ที่โจทก์ตกลงกับบุคคลอื่น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การซื้อขายสินค้าตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยที่ ๒ ไม่รู้เงื่อนไขข้อตกลงระหว่างโจทก์กับบุคคลที่ ๓ แม้จำเลยที่ ๑ ไม่เข้ามาต่อสู้คดีแต่ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ เป็นเหตุลักษณะคดีย่อมเป็นคุณแก่จำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๒๔๑,๕๖๓ บาท ๓๓ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระใช้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ในปัญหาที่จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธความรับผิดในเรื่องความชำรุดบกพร่องของสินค้า โดยอ้างว่าการซื้อขายสินค้าพิพาทเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าสัญญาซื้อขายที่ตกลงทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ก็ดี บันทึกที่นายชัยวัฒน์รับเงินค่าสินค้าและรับรองความชำรุดบกพร่องของสินค้าตามเอกสารหมาย จ.๔ ก็ดี ปรากฏมีข้อความพอให้คู่สัญญาเข้าใจได้ว่าสินค้าพิพาทจะถูกส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศ นอกจากนางศิริพรกับนายเวทย์จะเบิกความยืนยันว่าก่อนที่จะชำระค่าสินค้าให้นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ ๒ ได้ตกลงรับรองความชำรุดบกพร่องของสินค้าแล้ว นายชัยวัฒน์ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ยังได้ลงชื่อในบันทึกรับรองความชำรุดบกพร่องของสินค้าไว้ด้วย ฝ่ายจำเลยมีแต่จำเลยที่ ๒ คนเดียวเบิกความขึ้นลอย ๆ ว่า การซื้อขายสินค้าพิพาทเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดจึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองรู้ความมุ่งหมายของโจทก์อยู่แล้วว่าโจทก์ซื้อสินค้าพิพาทไปจำหน่ายในต่างประเทศ สินค้านั้นเกิดชำรุดบกพร่องทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อสินค้านั้น เป็นเหตุให้โจทก์ขายสินค้านั้นไม่ได้ ดังนี้ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น โจทก์บอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๕, ๓๘๗, ๓๙๑ และมาตรา ๔๗๒
ในปัญหาเรื่องการเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ บัญญัติไว้ว่า ‘การเรียกเอาค่าเสียหายนั้นได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแก่การไม่ชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแก่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว’ ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดในคดีนี้ก็คือ เงินราคาสินค้าที่รับไปจากโจทก์ ค่าที่โจทก์ได้ชำระค่าขนส่งสินค้า ค่าวัสดุสำหรับบรรจุหีบห่อสินค้าที่โจทก์จัดซื้อแล้วส่งให้จำเลย และค่าโกดังเก็บสินค้าซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายพิเศษที่จำเลยควรจะคาดคิดล่วงหน้าได้ ตามเอกสารหมาย จ.๑๔ ถึง จ.๒๖ รวมกันเป็นเงิน ๒๔๑,๕๖๓ บาท ๓๓ สตางค์ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงว่าโจทก์เสียหายจริง
พิพากษายืน.