แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลานในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นโจทก์ฟ้องยายในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นจำเลยได้ มิใช่คดีอุทลุม เพราะโจทก์มิได้ฟ้องในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะส่วนตัวของจำเลย แม้สัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องมิได้ระบุว่ายายทำในฐานะผู้จัดการมรดกก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาและผู้จัดการมรดกของนายไพจิตร สุทธิสัมพัทน์ จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ เกษมศรี เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ นายไพจิตรทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ ๒๖๗ ตำบลบ้านพานถม อำเภอพระนคร กรุงเทพมหานครจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท วางมัดจำไว้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือผ่อนชำระใน ๔ ปี ต่อมานายไพจิตรชำระเป็นเงินสดอีก ๕๐,๐๐๐ บาท คงค้างอยู่เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท หลังจากนายไพจิตรถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวพร้อมกับรับชำระค่าที่ดินที่ค้าง จำเลยขอผัดผ่อน โจทก์มีหนังสือกำหนดวันนัดให้จำเลยโอนทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวและรับเงินค่าที่ดินที่ค้าง จำเลยไม่ไปและไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์พร้อมกับเงินค่าที่ดินที่ค้าง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามฟ้องโดยมิได้รับความยินยอมจากบุตรของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ ซึ่งมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวด้วย สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ สัญญาดังกล่าวมีเงื่อนไขว่า ผู้จะซื้อยินยอมให้ผู้จะขายอยู่ในที่ดินดังกล่าว และไม่กระทำสิ่งใดให้กระทบกระเทือนจิตใจผู้จะขาย แต่ผู้จะซื้อมีเจตนาขับไล่จำเลยไม่ให้ความสะดวกในการที่จำเลยจะใช้ประตูบ้านโจทก์เป็นทางเข้าออก และแสดงกิริยาไม่เคารพจำเลย เป็นการผิดเงื่อนไขในสัญญา ค่าที่ดินบางส่วนนายไพจิตรสั่งจ่ายเป็นเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จึงเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์นัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยมิได้ระบุวันเวลาสถานที่ จำเลยจึงมิได้ผิดนัดขอให้ยกฟ้อง
ก่อนชี้สองสถานหม่อมราชวงศ์เขมัสศิริ เกษมศรี กับหม่อมราชวงศ์หญิงธีรตาร์ เกษมศรี บุตรของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์เกษมศรี ร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ พร้อมกับชำระเงินที่ค้าง หากจำเลยไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์และเป็นยายของโจทก์ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เป็นหลานจำเลย โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัว เป็นคดีอุทลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายไพจิตรสุทธิสัมพัทน์ ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ เกษมศรี เป็นจำเลยซึ่งจำเลยก็ให้การว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของหม่อมเจ้าอธิพรพงศ์ เกษมศรี ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องแก่นายไพจิตร ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์หาได้ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และฐานะส่วนตัวของจำเลยไม่ แม้สัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องมิได้ระบุว่าจำเลยทำในฐานะผู้จัดการมรดกก็หาทำให้ฟ้องดังกล่าวเป็นฟ้องในฐานะส่วนตัวจำเลยไม่ คดีที่โจทก์ฟ้องจึงมิใช่คดีอุทลุม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน.