คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6270/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ดี การโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ดีได้กระทำในชื่อใหม่ของจำเลยที่ 1 และที่ 2ย่อมเป็นเหตุทำให้ผู้ร้องไม่อาจทราบว่า พ.และอ.ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องก็คือ ก. และ ธ. จำเลยที่ 1และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และผู้คัดค้านได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น กรณีถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 2เด็ดขาดได้ และถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำขอขยายระยะเวลาหลังจากสิ้นระยะเวลาแล้วก็ได้ แต่ผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอขยายระยะเวลาเสียภายในเวลาอันสมควรที่ผู้ร้องอาจยื่นได้หลังจากที่ทราบเรื่องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว การที่ผู้ร้องเพิ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้และขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้หลังจากผู้ร้องทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดนานถึงเกือบ 4 เดือน ผู้ร้องจึงไม่อาจขอให้ศาลขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2532 ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดผู้ร้องมอบอำนาจให้นายเล้า ไชย โช ดำเนินคดีแทน เดิมจำเลยที่ 1 ชื่อนายพันชัย จงจิตกมล จำเลยที่ 2 ชื่อนายอภิชาติ จงจิตกมล จำเลยที่ 3 ชื่อนายธีรศักดิ์ จงจิตกมลจำเลยทั้งสามกับพวกเป็นหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17070/2529 ของศาลแพ่ง แต่จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องนำยึดที่ดินของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม2534 ผู้ร้องฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีล้มละลายต่อศาลแพ่ง ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ ล.685/2534 ของศาลแพ่ง วันที่ 2 ธันวาคม2534 จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การในคดีดังกล่าวว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดแล้วตั้งแต่วันที่26 ธันวาคม 2532 ผู้ร้องไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าจำเลยทั้งสามเปลี่ยนชื่อใหม่และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดในชื่อที่เปลี่ยนใหม่ ผู้ร้องจึงมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีมีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัย เมื่อผู้ร้องทราบว่าจำเลยทั้งสามถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจากคำให้การของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2535 ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้และไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งผู้คัดค้านแล้วมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้และให้ผู้คัดค้านรับชำระหนี้ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2532 ผู้คัดค้านได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2533 ครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่14 พฤษภาคม 2533 มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2533 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายวันที่ 9 พฤษภาคม 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายของจำเลยที่ 3 และมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายเฉพาะจำเลยที่ 3 ผู้ร้องทราบว่าจำเลยทั้งสามเปลี่ยนชื่อตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2534 แต่ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีไม่มีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยทั้งไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาขอรับชำระหนี้ และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 3 แล้ว ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 อีกต่อไป ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรับคำร้อง ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 3 มกราคม 2535 และคำขอรับชำระหนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้พิจารณาดำเนินการต่อไป
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2532 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ล้มละลาย โดยขณะยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ใช้ชื่อนายเกษมศักดิ์ซึ่งเดิมชื่อนายพันชัย จำเลยที่ 2 ใช้ชื่อนายธนินซึ่งเดิมชื่อนายอภิชาติ และจำเลยที่ 3 ใช้ชื่อนายปวิธซึ่งเดิมชื่อนายธีรศักดิ์ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2532 ผู้คัดค้านได้ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่13 มีนาคม 2533 ครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่14 พฤษภาคม 2533 และเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2533 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย ต่อมาเมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2534 ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยทั้งสามกับพวกในชื่อเดิมขอให้ล้มละลายต่อศาลแพ่งตามคดีล้มละลาย วันที่ 2 ธันวาคม 2534จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ยื่นคำให้การว่า จำเลยทั้งสามถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2535 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง เพราะผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้อนุญาตให้ผู้ร้องขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้าน โดยให้ผู้คัดค้านรับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องลงวันที่ 3 มกราคม 2535 มีปัญหาตามฎีกาผู้ร้องในชั้นฎีกาว่า กรณีมีพฤติการณ์พิเศษและเป็นเหตุสุดวิสัยที่ผู้ร้องไม่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องโดยเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีดังกล่าวซึ่งใช้ชื่อเดิมชื่อนายพันชัยและนายอภิชาติตามลำดับ และศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 กับจำเลยอื่นร่วมกันชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2529 แม้ผู้ร้องได้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วบางส่วนก็ตาม แต่ก็เป็นบังคับคดีและขายทอดตลาดไปตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531 และวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ล้มละลายในชื่อใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2532 และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม2532 นานถึงหนึ่งปีเศษ แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยังคงใช้ชื่อสกุลเดิมก็ยากที่ผู้ร้องจะทราบได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ที่ถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นจำเลยคนเดียวกับที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวของผู้ร้อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ดีการโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ดี ที่ได้กระทำในชื่อใหม่ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเป็นเหตุทำให้ผู้ร้องไม่อาจทราบว่านายพันชัยและนายอภิชาติลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องก็คือนายเกษมศักดิ์และนายธนินจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และผู้คัดค้านได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น กรณีถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เด็ดขาดได้และถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำขอขยายระยะเวลาหลังจากสิ้นระยะเวลาแล้วได้ แต่ผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอขยายระยะเวลาเสียภายในเวลาอันสมควรที่ผู้ร้องอาจยื่นได้หลังจากที่ทราบเรื่องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ปัญหาจึงมีต่อไปว่าผู้ร้องทราบเรื่องจำเลยที่ 1 และที่ 2ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อใด ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจากคำให้การของจำเลยที่ 3 ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยทั้งสามกับพวกขอให้ล้มละลายตามคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.685/2534 ของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2534 นั้น ได้ความจากนายสุนทรสิทธิวิชชาพร หัวหน้าแผนกสินเชื่อและค้ำประกันของผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกรับข่าวเกี่ยวกับคดีล้มละลายทั่วราชอาณาจักร สำนักงานเกตุแรงเพ็ชร ทนายความ ได้ส่งข่าวให้แก่ผู้ร้องเป็นประจำ โดยแผนกกฎหมาย แผนกกระแสรายวัน และแผนกสินเชื่อของธนาคารผู้ร้องมีหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หากพบว่าบุคคลใดเป็นลูกหนี้ของผู้ร้องก็จะส่งมอบเรื่องให้สำนักงานทนายความดำเนินการในคดีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดภานุวัฒน์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ทราบจากข่าวนี้ นายสมศักดิ์ เตชะศิริสวัสดิ์หัวหน้าแผนกกฎหมายของผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องได้มอบให้สำนักงานทนายความไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องเป็นสมาชิกรับข่าวเกี่ยวกับคดีล้มละลายก็มุ่งหมายเพื่อตรวจสอบว่าลูกหนี้ของผู้ร้องซึ่งมีจำนวนมากนั้นรายใดถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อจะได้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด การที่ปรากฏตามข่าวเกี่ยวกับคดีล้มละลายมีบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายถึง 3 คนในคดีนี้มีชื่อสกุลตรงกับลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องเช่นนี้ อย่างน้อยผู้ร้องซึ่งประกอบธุรกิจด้านการเงินน่าจะฉงนใจและทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องหรือไม่ ซึ่งสามารถกระทำได้ และหากขอตรวจสอบภูมิลำเนาจากนายทะเบียนท้องถิ่นก็จะทราบว่า นายพันชัยได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายเกษมศักดิ์ นายอภิชาติได้เปลี่ยนเป็นนายธนินจากสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2532 แต่ผู้ร้องหาได้กระทำไม่ อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 ขอให้ล้มละลายต่อศาลแพ่งตามคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล.685/2534 และเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2534 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องแก้ไขคำฟ้องระบุว่านายพันชัยจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายเกษมศักดิ์ นายธีรศักดิ์จำเลยที่ 2 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายปวิธคำร้องเอกสารหมาย ป.ร.3 ตรงกับชื่อของจำเลยที่ 1และที่ 2 ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายในคดีนี้ที่ผู้ร้องได้ทราบจากข่าวเกี่ยวกับคดีล้มละลายสำนักงานเกตุแรงเพ็ชรทนายความ ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว ย่อมต้องถือว่าผู้ร้องทราบเรื่องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วอย่างช้าเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2534 หาใช่วันที่ 2 ธันวาคม 2534 ดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่ การที่ผู้ร้องเพิ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้และขอขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2535หลังจากผู้ร้องทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดนานถึงเกือบ 4 เดือน เช่นนี้ ผู้ร้องจึงไม่อาจขอให้ศาลขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้
พิพากษายืน

Share