คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินโฉนดของจำเลย ตามสัญญาข้อ 13 ระบุไว้ว่า ผู้ก่อสร้างจะต้องสร้างตึกแถวได้ไม่ต่ำกว่า 90 – 110 ห้อง ตามสัญญาข้อ 15 ระบุว่าผู้ให้ก่อสร้างรับว่าจะอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการติดต่อกับทางราชการเพื่อให้การก่อสร้างและการเซ้งห้องเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว และตามสัญญาข้อ 17 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องได้ทันที ดังนั้น เมื่อโจทก์ผู้ก่อสร้างทำผังให้ปลูกตึกแถวในที่ดินโฉนดของจำเลยผู้ให้ก่อสร้างได้ 91 ห้องก็ถือได้ว่าถูกต้องตามสัญญา การที่จำเลยไม่ยอมลงชื่อในแบบพิมพ์คำขออนุญาตก่อสร้างตึกแถวของทางราชการให้โจทก์ โจทก์ไม่อาจสร้างตึกแถวได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้
เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะตามที่เป็นอยู่เดิม และโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ค่าเสียหายเรื่องขาดผลกำไรเป็นเรื่องอนาคตยังไม่แน่นอน ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงให้โจทก์ทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน ๙๐ – ๑๑๐ ห้อง ลงบนที่ดินของจำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นและเป็นผู้มีสิทธินำอาคารดังกล่าวไปให้บุคคลภายนอกเช่าและเรียกค่าตอบแทนได้เมื่อมีผู้ใดเช่าห้องใดแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในห้องนั้นตกเป็นของจำเลย เมื่อทำสัญญากันแล้วโจทก์ได้เตรียมการก่อสร้างโดยการถมทรายในที่ดินและเขียนแบบแปลนแผนผังเพื่อจะขออนุญาตต่อทางราชการในนามของจำเลยตามสัญญาแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมลงชื่อในคำร้องเพื่อขอนุญาตทำการปลูกสร้างอาคารต่อทางราชการและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่เคยขอร้องให้จำเลยลงชื่อในคำร้องขออนุญาตก่อสร้างและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างเพื่อยื่นขออนุญาตต่อทางราชการแต่อย่างใด โจทก์ไม่เคยทำแบบแปลนการก่อสร้าง โจทก์มิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างเขียนแบบแปลนก่อสร้าง ที่โจทก์ว่าจะได้กำไรห้องละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นเรื่องในอนาคตไม่แน่นอน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินส่วนนี้โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๕๑๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันบอกเลิกสัญญา
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่นตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์สมัครใจเลิกการก่อสร้างเองเพราะวัสดุก่อสร้างมีราคาสูงขึ้น จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของจำเลยปรากฏตามเอกสารหมายจ.๕ เมื่อสร้างตึกแถวตามสัญญานี้แล้วโจทก์มีสิทธิจะนำไปให้คนอื่นเช่าเป็นระยะเวลา ๒๕ ปี ค่าเช่าห้องละ ๘๐ บาท ตกลงสร้าง ๙๐ – ๑๑๐ ห้อง ต่อมาได้ตกลงเปลี่ยนแปลงการก่อสร้างลงมาเหลือเพียง ๘๖ ห้อง ในอัตราค่าเช่าห้องละ ๙๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๖ และได้ทำแผนผังบริเวณก่อสร้างใหม่ตามเอกสารหมาย จ.๗จำเลยได้ตรวจเอกสารหมาย จ.๗ แล้ว ไม่พอใจว่าห้องมีน้อยไปให้โจทก์ไปเขียนแปลนหรือแผนผังมาใหม่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๘ โจทก์จึงไปเขียนแบบแปลนมาอีก ๔ – ๕ ครั้ง ตามเอกสารหมาย จ.๓ จำเลยไม่ตกลงด้วย โจทก์ได้เขียนแบบแปลนอีกฉบับหนึ่งซึ่งจะก่อสร้างตึกแถวได้ ๙๑ ห้อง ตามเอกสารหมาย จ.๒ แต่ผลสุดท้ายจำเลยไม่ตกลงให้ก่อสร้างแบบใด และจำเลยไม่ยอมเซ็นขื่อในแบบพิมพ์ขออนุญาตก่อสร้างตึกแถวของทางราชการให้ โจทก์จึงไม่อาจสร้างตึกแถวได้ จึงได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยและศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวว่า ตามสัญญาปลูกสร้างอาคารพาณิชย์เอกสารหมาย จ.๕ เมื่อโจทก์ทำผังให้ปลูกตึกแถวได้ ๙๑ ห้อง ก็ถือได้ว่าถูกต้องตามสัญญาเอกสารหมาย จ.๕ ซึ่งระบุไว้ตามข้อ ๑๓ ซึ่งให้ผู้ก่อสร้างจะต้องสร้างได้ไม่ต่ำกว่า ๙๐ – ๑๑๐ ห้องแล้วและในข้อนี้จำเลยก็เบิกความรับในการตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่าโจทก์จะวางผังอย่างไรก็ได้ขอให้ได้จำนวนห้อง ๙๐ ถึง๑๐๐ ห้อง และการที่จำเลยเบิกความว่า โจทก์จะต้องปลูกสร้างให้เต็มเนื้อที่ทางด้านตะวันตก จำเลยก็ไม่นำสืบให้เห็นว่าเนื้อที่ด้านตะวันตกตามแผนผังเอกสารหมาย จ.๒ จะปลูกอาคารลงไปได้ทางทิศดังกล่าวตรงส่วนไหนอย่างไร พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเลิกสัญญาได้
ในปัญหาเรื่องค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมและโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายได้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ จำเลยมิได้ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้ให้ค่าหน้าดินแก่จำเลยไปเพื่อทำการปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินของจำเลยเป็นเงินจำนวน ๓๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้เสียค่าถมทรายลงในที่ดินที่จะทำการปลูกสร้างเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และว่าจ้างสถาปนิกเขียนแบบแปลนเป็นเงิน ๓๘,๐๐๐ บาท จำเลยมิได้นำสืบคัดค้านอย่างไรว่าโจทก์มิได้จ่ายไปจริง จึงฟังได้ว่า โจทก์ได้ใช้จ่ายไปเพื่อเตรียมการปลูกสร้าง เมื่อโจทก์เลิกสัญญาจำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ อันเป็นวันครบกำหนดตามที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายโดยหนังสือบอกเลิกสัญญา ส่วนค่าเสียหายเรื่องขาดผลกำไรนั้นเห็นว่าเป็นเรื่องอนาคตยังไม่แน่นอนดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว โจทก์จึงไม่ควรได้รับค่าเสียหายส่วนนี้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเว้นแต่ดอกเบี้ยของเงินจำนวน ๑๘๘,๐๐๐ บาท ให้นับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๑จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ

Share