คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขาดนัดยื่นคำให้การ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคแรกย่อมขึ้นอยู่กับว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วหรือไม่ด้วย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการส่งหมายให้จำเลยชอบแล้ว อันมีผลให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงตรงประเด็นแล้ว จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องที่จำเลยอ้างว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านออกไป ถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หรือหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่งจึงให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้ว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด การขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยจึงเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรประการอื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าติดต่อขายที่ดินให้แก่จำเลย โดยจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ขายได้ต่อมาโจทก์นำนายสรรเสริญมาซื้อที่ดินดังกล่าวและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจำนวน 274,000 บาทโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 14,042 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 288,042 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 274,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์ ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์เนื่องจากจำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ตามฟ้อง จำเลยอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 235/23-25 ถนนสุขุมวิท 21 แขวงคลองเตย เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร แต่จำเลยยังไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้าน จำเลยประสงค์จะต่อสู้คดี ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโจทก์แถลงคัดค้านว่า จำเลยมีภูมิลำเนาตามฟ้อง ถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยมีเจตนาจะใช้ที่อยู่ทั้งสองแห่งเป็นภูมิลำเนา การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยจึงชอบแล้วให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยยื่นแถลงคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 274,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่าจำเลยนำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26414 ตำบลหัวหมากอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แก่นายสรรเสริญ ในราคา5,500,000 บาท นายสรรเสริญชำระเงินค่าที่ดินครบถ้วนและได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันแล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในข้อแรกมีว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่จำเลยฎีกาว่าการส่งหมายชอบหรือไม่ชอบเป็นคนละประเด็นกับการจงใจขาดนัดหรือไม่ การส่งหมายอาจจะชอบ แต่ถ้าจำเลยไม่รู้ว่าถูกฟ้องจนล่วงพ้นกำหนดเวลายื่นคำให้การแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะต้องวินิจฉัยว่ารู้หรือไม่รู้เท่านั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการส่งหมายให้จำเลยชอบแล้ว จึงไม่ตรงประเด็นนั้น เห็นว่าการรู้หรือไม่รู้เป็นเรื่องในใจของจำเลยบุคคลภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ ต้องอาศัยจากพฤติการณ์เป็นประมาณประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคแรก จึงบัญญัติว่าเมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การ หรือเมื่อโจทก์ถูกฟ้องแย้งแล้ว จำเลยหรือโจทก์มิได้ยื่นคำให้การหรือคำให้การแก้ฟ้องแย้งภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาเช่นว่านั้นให้ถือว่าจำเลยหรือโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ จะเห็นได้ว่าจำเลยหรือโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วหรือไม่ด้วย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการส่งหมายให้จำเลยชอบแล้ว อันมีผลให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงตรงประเด็นแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตรงตามที่โจทก์ระบุไว้ในฟ้อง ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านออกไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หรือหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่ง จึงให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าการขาดนัดของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรประการอื่นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่โจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share