แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยต่อมาจำเลยได้รื้อรั้วไม้ขัดแตะซึ่งกั้นแนวเขตออกแล้วนำสังกะสีมาล้อมเป็นรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ3ตารางวาขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไปจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยซ่อมแซมรั้วไม้ขัดแตะโดยเปลี่ยนรั้วสังกะสีในแนวเดิมมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์และฟ้องแย้งว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านใหม่โดยชายคาบ้านรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยประมาณ2ตารางวาขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนชายคาบ้านในส่วนที่รุกล้ำที่ดินของจำเลยออกไปซึ่งโจทก์ทั้งสามได้ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ทั้งสามปลูกสร้างบ้านในเขตที่ดินของโจทก์มิได้รุกล้ำที่ดินของจำเลยจำเลยสร้างรั้วสังกะสีรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทำให้ชายคาบ้านโจทก์ทั้งสามล้ำแนวรั้วสังกะสีที่จำเลยทำขึ้นใหม่จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าตนเองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นกรณีพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้โจทก์จะมีคำขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไปจากที่พิพาทและจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์รื้อถอนชายคาบ้านในส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่พิพาทมาด้วยก็ตามแต่คำขอให้รื้อถอนดังกล่าวจะบังคับให้ได้หรือไม่เพียงใดนั้นเป็นเพียงผลต่อเนื่องมาจากข้อวินิจฉัยในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นประเด็นสำคัญในคดีคดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อย่างเดียวหาใช่เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยไม่ ที่พิพาทมีเนื้อที่ครึ่งตารางวาซึ่งโจทก์ตีราคาที่พิพาทตารางวาละ70,000บาทและจำเลยตีราคาที่พิพาทตารางวาละ375บาทดังนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน50,000บาทและทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งและมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยอุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้โดยพิพากษาคดีมาก็ดีและที่โจทก์ฎีกาต่อมาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสามมาก็ดีเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9159 เนื้อที่ 80 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9157 เนื้อที่ 66 ตารางวา ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมีอาณาเขตติดต่อกันโดยที่ดินของจำเลยอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสาม จำเลยได้ล้อมรั้วไม้ขัดแตะกั้นตามแนวเขตที่ดินติดต่อกัน ต่อมาโจทก์ทั้งสามได้สร้างบ้านใหม่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามเฉพาะชายคาบ้านห่างจากรั้วไม้ขัดแตะของจำเลยประมาณ1 ศอก เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2535 จำเลยได้รื้อรั้วไม้ขัดแตะซึ่งกั้นตามแนวเขตออก แล้วนำสังกะสีมาล้อมเป็นรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสามทางด้านทิศใต้ โดยรุกล้ำเข้าไปใต้ชายคาบ้านโจทก์ทั้งสามกว้างประมาณ 1 ศอก ยาวประมาณ3 วา 2 ศอก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องโดยเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามห้ามปรามแล้วแต่จำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงในโฉนดเลขที่ 9159เป็นของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไปจากที่ดินดังกล่าวห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 9157 โดยปลูกบ้านอยู่อาศัยและล้อมรั้วไม้ขัดแตะเป็นเขตมาประมาณ 40 ปีแล้ว โดยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสาม เมื่อต้นปี 2535 จำเลยซ่อมแซมรั้วไม้ขัดแตะโดยเปลี่ยนเป็นรั้วสังกะสีในแนวเดิม แต่โจทก์ทั้งสามได้ปลูกบ้านโดยชายคาบ้านรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย 1 เมตร และปล่อยน้ำฝนลงในที่ดินของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสามรื้อถอนชายคาบ้านในส่วนที่รุกล้ำที่ดินของจำเลย 1 เมตรและห้ามโจทก์ทั้งสามปล่อยน้ำจากชายคาบ้านลงบนที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อกลางปี 2534 โจทก์ทั้งสามได้ถมดินปลูกสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์ทั้งสามเฉพาะชายคาบ้านห่างจากรั้วไม้ขัดแตะของจำเลยประมาณ 1 ศอก ซึ่งจำเลยไม่ได้ทักท้วงว่าชายคาบ้านโจทก์ทั้งสามรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2535 จำเลยรื้อรั้วไม้ขัดแตะเปลี่ยนเป็นรั้วสังกะสีรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสาม เป็นเหตุให้ชายคาบ้านโจทก์ทั้งสามล้ำแนวรั้วสังกะสีที่จำเลยล้อมขึ้นใหม่ ทั้งนี้จำเลยเจตนาที่จะแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเนื้อที่ครึ่งตารางวาตรงบริเวณที่เขียนว่าบริเวณที่พิพาทในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 อยู่ในเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 9159 ของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไปจากที่ดินดังกล่าวห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเนื้อที่ครึ่งตารางวาตรงบริเวณที่พิพาทในแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นของจำเลยให้โจทก์ทั้งสามรื้อถอนชายคาบ้านออกไปจากที่พิพาทดังกล่าวส่วนคำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม
โจทก์ ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9159 โดยทางทิศใต้มีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 9157 ของจำเลย ต่อมาจำเลยได้รื้อรั้วไม้ขัดแตะซึ่งกั้นแนวเขตออกแล้วนำสังกะสีมาล้อมเป็นรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสาม คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยซ่อมแซมรั้วไม้ขัดแตะโดยเปลี่ยนรั้วสังกะสีในแนวเดิมมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสามและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสามปลูกสร้างบ้านใหม่โดยชายคาบ้านรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยประมาณ 2 ตารางวา ขอให้บังคับโจทก์ทั้งสามรื้อถอนชายคาบ้านในส่วนที่รุกล้ำที่ดินของจำเลยออกไปซึ่งโจทก์ทั้งสามได้ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสามปลูกสร้างบ้านในเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสามมิได้รุกล้ำที่ดินของจำเลยจำเลยสร้างรั้งสังกะสีรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสามทำให้ชายคาบ้านโจทก์ทั้งสามล้ำแนวรั้วสังกะสีที่จำเลยทำขึ้นใหม่ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยต่างอ้างว่าตนเองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท อันเป็นกรณีพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์แม้โจทก์ทั้งสามจะมีคำขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วสังกะสีออกไปจากที่พิพาท และจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ทั้งสามรื้อถอนชายคาบ้านในส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่พิพาทมาด้วยก็ตาม แต่คำขอให้รื้อถอนดังกล่าวจะบังคับให้ได้หรือไม่เพียงใดนั้นเป็นเพียงผลต่อเนื่องมาจากข้อวินิจฉัยในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นประเด็นสำคัญในคดีคดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อย่างเดียว หาใช่เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยไม่ปรากฏว่าคู่ความแถลงรับกันว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 มีเนื้อที่ครึ่งตารางวา ซึ่งโจทก์ทั้งสามตีราคาที่พิพาทจำนวน 3 ตารางวา เป็นเงิน 210,000 บาท หรือตารางวาละ70,000 บาท และจำเลยตีราคาที่พิพาท 2 ตารางวา เป็นเงิน750 บาท หรือตารางวาละ 375 บาท ดังนี้ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาทและทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง และมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 3รับวินิจฉัยให้โดยพิพากษาคดีมาก็ดี และที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม และศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสามมาก็ดี เป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่มีอำนาจพิพากษาคดีนี้และศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสามไม่ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และยกฎีกาของโจทก์ทั้งสาม ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสาม ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ