คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า นอกจากที่จำเลยให้การไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และมีข้อความในคำให้การต่อไปว่า ความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงิน ถือว่าจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสิ้น
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 3,000 บาท ตกลงจะให้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และจะชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 2ธันวาคม 2515 จำเลยได้รับเงินไปแล้วไม่เคยนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระให้โจทก์เลย ครบกำหนดชำระเงินต้นแล้วจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า นอกจากที่จำเลยให้การนี้แล้ว ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ เมื่อระหว่างเดือนกรกฎาคม 2514 โจทก์ได้ตกลงซื้อเรือน 1 หลัง และกระดานไม้กราดในราคา 4,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินค่าเรือนและค่ากระดานให้แก่จำเลยไว้แล้ว และตกลงกันว่า เรือนหลังนี้โจทก์ยอมให้น้องสาวจำเลยอาศัยอยู่ก่อน เมื่อใดโจทก์มารื้อเรือนแล้ว ให้น้องสาวจำเลยออกจากเรือนหลังนี้ในวันที่ตกลงซื้อขายเรือนและกระดานกันนี้ โจทก์ได้นำกระดาษฟุลสแก๊ปเปล่าให้จำเลยลงชื่อไว้ เมื่อระหว่างเดือน 12 ปีกลายนี้ ปรากฎว่าโจทก์ได้ไปรื้อเรือนที่ตกลงซื้อขายกันนี้ แต่ไม่ไปขนไม้กระดานจากจำเลย แต่กลับให้จำเลยลงชื่อไว้ในสัญญากู้ว่าจำเลยกู้เงินไปจากโจทก์ 1,500 บาท ความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงิน แต่เป็นการซื้อขายเรือนและไม้กระดานเมื่อโจทก์ได้ขนรื้อเรือนไปแล้ว และโจทก์ไม่ไปรับเอากระดานที่ตกลงซื้อขายกันฝ่ายโจทก์เป็นผู้ผิดนัดเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงงดการชี้สองสถาน แล้ววินิจฉัยว่าคำให้การจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ จำเลยมิได้ปฏิเสธโดยตรงว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องหรือหนังสือสัญญาดังกล่าวไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมายอย่างไร เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธ จึงถือว่าจำเลยให้การรับตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธ ก็ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าปฏิเสธในข้อใด และพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยได้ให้การปฏิเสธแล้วว่าจำเลยไม่ได้กู้แต่เป็นการซื้อขายเรือนและไม้กระดาน เป็นการต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาที่โจทก์ฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินและสัญญาจะชำระเงินต้นให้โจทก์ภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2515 แต่สำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้องระบุว่าจะนำเงินมาชำระให้เสร็จภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2514 จึงอาจเป็นสัญญากู้คนละฉบับก็ได้ คดีจึงต้องฟังพยานโจทก์จำเลยก่อน พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า นอกจากคำให้การของจำเลยจะได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า นอกจากที่จำเลยให้การไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์นั้นแล้ว จำเลยยังให้การต่อไปว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินจึงต้องถือว่าจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสิ้น และเห็นว่าเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นมีข้อความเคลือบคลุม คือ จำเลยได้กล่าวในตอนแรกว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ แต่ในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่า จำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือฉบับไหนหรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็ชอบที่จะกล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเช่นเดียวกัน คดีจึงต้องถือว่าไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้ แต่เมื่อฟังมาแล้วว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้น จำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมและได้รับเงินไปจากโจทก์ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อที่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นว่าให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานโจทก์ตามประเด็นแห่งคดี โดยจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share