คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2622/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องหาว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนหรือซื้อที่ดินคืน ขอให้บังคับจำเลยรับการไถ่ถอนหรือขายที่ดินคืนคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ได้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ หาว่าจำเลยผิดสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีก่อน และขอให้บังคับจำเลยขายที่ดินให้ จึงเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในเรื่องอันเดียวกันต่อศาลเดียวกันในขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 1136 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยมีกำหนดไถ่ 1 ปี ต่อมาในวันครบกำหนดไถ่โจทก์ได้ขอซื้อที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ขายฝากคืน โดยจะทำการขายฝากกันใหม่อีก 2 ปี จำเลยยอมตกลง โจทก์จำเลยได้ร่วมกันทำหนังสือถึงอธิบดีกรมทางหลวง ขออนุญาตทำนิติกรรมขายฝากต่อไปอีก 2 ปี ระหว่างรอฟังคำสั่งอนุญาตอยู่นั้น จำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 49/2509 ของศาลจังหวัดระยอง ถือว่าจำเลยผิดสัญญาจะขายที่ดิน ไม่ยอมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากจำเลยไม่ยอมไปทำขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า ได้รับซื้อฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์จริง แต่โจทก์ไม่ไถ่ภายในกำหนด ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย หลังจากครบกำหนดสัญญาขายฝากแล้วโจทก์มาขอซื้อคืนจำเลยตกลงขายให้ โจทก์ว่าต้องขออนุญาตต่ออธิบดีกรมทางหลวง จะซื้อคืนภายในกำหนด 1 เดือน แต่โจทก์ไม่มีเงินซื้อ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารออกไปตามสำนวนคดีแพ่งแดงเลขที่ 49/2509 โจทก์เคยเอาแบบพิมพ์ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมาให้จำเลยเซ็นชื่อเพื่อยื่นต่ออธิบดีกรมทางหลวง โจทก์นำไปกรอกข้อความและยื่นเอง และตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำกับสำนวนคดีแพ่งแดงเลขที่ 78/2511 ของศาลจังหวัดระยอง ซึ่งในคดีนั้นศาลจังหวัดระยองพิพากษายกฟ้อง คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144, 148, 173 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้เป็นเหตุอันเดียวกับที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้วในคดีก่อน โดยฟังว่าข้อตกลงที่จะขยายอายุสัญญาขายฝากไม่มีผล ฟ้องโจทก์คดีนี้ก็เป็นเรื่องขยายอายุสัญญาขายฝาก ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นคำมั่นว่าจะขายทั้งจำเลยแสดงเจตนารับคำมั่นนั้นแล้ว ในคดีก่อนศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละเรื่องกับคดีแพ่งที่ 49/2509 จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดระยองไว้แล้วตามสำนวนคดีแพ่งเลขแดงที่ 78/2511 หาว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนหรือซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1136 ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองจังหวัดระยอง คืน ขอให้บังคับจำเลยรับการไถ่ถอนหรือขายที่ดินคืนพร้อมกับให้ใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ (ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2512) คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งแดงที่ 78/2511 ของศาลจังหวัดระยองนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าข้อตกลงขยายเวลาไถ่ถอนการขายฝากขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 เป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาว่าจำเลยผิดสัญญา โดยผิดคำมั่นที่ให้ไว้เป็นหนังสือ จำเลยต้องขายคืนแก่โจทก์ตามคำมั่น ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาโจทก์โดยไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ เพราะโจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเห็นได้ชัดว่าโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ในเรื่องอันเดียวกันต่อศาลเดียวกันในขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 จะรับพิจารณาให้ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลแห่งคำชี้ขาดของศาลล่าง

พิพากษายืน

Share