แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์อ้างว่าพระภิกษุทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์ผู้ร้องสอดต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอมเช่นนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องนำสืบให้ได้ความว่าพินัยกรรมนั้นไม่ปลอม พระภิกษุช. ได้ทรัพย์พิพาทมาระหว่างอยู่ในสมณเพศแล้วถึงแก่มรณภาพโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้ใดทรัพย์พิพาทจึงตกได้แก่วัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุช. ตามป.พ.พ.มาตรา1623.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมของพระภิกษุชิน จำเลยเป็นผู้เก็บทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของพระภิกษุชินไว้โดยไม่มีอำนาจให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
วัดโพธิพระในยื่นคำร้องสอดเพื่อขอคุ้มครองและบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ว่าทรัพย์มรดกของพระภิกษุชินเป็นทรัพย์ที่พระภิกษุชินได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ มิได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้ใดจึงตกเป็นสมบัติของผู้ร้องสอดตามกฎหมาย พินัยกรรมที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารที่โจทก์กับพวกสมคบกันปลอมขึ้นหลังจากที่พระภิกษุชินมรณภาพแล้วเพื่อฉ้อโกงผู้ร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า พระภิกษุชินรวมพร้อม อุปสมบทตั้งแต่ พ.ศ. 2471 แล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดผู้ร้องสอดตลอดมาจนมรณภาพที่วัดนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2523 เงินประมาณ7 แสนบาทและที่ดิน 5 โฉนดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุชินได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน เป็นการไม่ชอบนั้น คดีนี้ โจทก์อ้างว่า พระภิกษุชินได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ผู้ร้องสอดต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอมขึ้นภายหลังพระภิกษุชินมรณภาพแล้ว เช่นนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องนำสืบให้ได้ความว่าพินัยกรรมที่อ้างนั้นไม่ปลอม ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2503ระหว่างนางน้อม วิชิตสรสาตร์ โจทก์ นายจง วิชิตสรสาตร์ จำเลย …โจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง ดังนี้จึงฟังว่าทรัพย์พิพาทพระภิกษุชินได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศแล้วถึงแก่มรณภาพ และไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้ใดทรัพย์พิพาทจึงตกได้แก่วัดผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยหรือผู้ร้องสอดได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนผู้ร้องสอด3,000 บาท.”