แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อสัญญาใด ๆ ที่คู่กรณีได้ทำขึ้น คู่กรณีสามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไขและตกลงทำข้อสัญญาใหม่ได้ ในเมื่อข้อสัญญาที่ทำขึ้นใหม่ นั้นไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การและมิได้บรรยาย ไว้ในคำฟ้องแย้งว่ารถยนต์คันพิพาทมีราคาเท่าไร ทั้ง คำขอท้ายคำฟ้องแย้งก็มิได้ระบุว่าหากโจทก์คืนรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ก็ขอให้โจทก์ใช้ราคารถยนต์นั้น จำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อปัญหา ดังกล่าวนั้นขึ้นมาว่ากล่าวกันในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะ ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว การพิสูจน์ความเสียหายนั้น ในเมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่าค่าเสียหายที่แท้จริงนั้นมีจำนวนเท่าใด คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายเท่านั้น ไม่มี พยานหลักฐานมาสนับสนุนให้เห็นค่าเสียหายที่แท้จริง ศาลจึง กำหนดค่าเสียหายให้ตามที่เห็นสมควร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดโจทก์มีสิทธิยึดรถคืน โดยจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการยึดรถคืน และเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ในอัตราร้อยละ1.5 ต่อเดือน จากต้นเงินที่ค้างชำระ นับแต่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ไป จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนกระทั่งกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง และโจทก์ได้ยึดรถยนต์คืนแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและเบี้ยปรับกับค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 359,568.11 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปีในต้นเงิน 355,129 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ตามฟ้อง โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันนับแต่ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ครบถ้วน และโจทก์ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ทำการโอนชื่อทางทะเบียนมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์เพิกเฉย ต่อมาโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้ทำการยึดรถยนต์ดังกล่าวไปทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายมิได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าวเพื่อหารายได้ทำให้จำเลยที่ 1 ขาดรายได้วันละ 3,000 บาท นับแต่วันถูกยึดรถถึงวันฟ้องเป็นค่าเสียหายจำนวน 267,000 บาท ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อและโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1 และชำระค่าเสียหายวันละ 3,000 บาทนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถยนต์ไปจากจำเลยที่ 1 จนกว่าโจทก์จะส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนและจำเลยที่ 1 ไม่เคยแจ้งให้โจทก์โอนชื่อทางทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ยึดรถยนต์คืนโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายเนื่องจากขาดรายได้หากมีก็ไม่เกินวันละ 500 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์ฮีโน่ รุ่น เคที 725 ดับบลิว/ซี หมายเลขเครื่อง อีเฮซ700-61573 และโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่จำเลยที่ 1 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 300,000 บาทนับแต่วันที่ไม่อาจส่งคืนได้ และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2527เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 หรือจนกว่าถึงเวลาที่โจทก์ต้องชดใช้ราคาแก่จำเลยที่ 1 กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นจากการที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบรับกันฟังได้ว่า เดิมจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2524 ในราคา 724,000บาท ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2524โจทก์ให้จำเลยที่ 2 โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้จำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 สัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันดังกล่าวทำที่บริษัทโจทก์ สาขาตะพานหิน ในขณะที่นายประสิทธิ์ พงษ์ไพจิตร เป็นผู้จัดการสาขา ต่อมาโจทก์ได้แต่งตั้งให้นายธนิต หมอกเรืองใสเป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์สาขาตะพานหินแทนนายประสิทธิ์และได้มอบอำนาจให้นายธนิตมีอำนาจเต็มในสาขาตะพานหินในการดำเนินกิจการต่าง ๆตามวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์รวมทั้งทำนิติกรรมการขายรถยนต์ให้เช่าซื้อรถยนต์ทุกชนิดตลอดจนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้อประมาณ 300,000 บาท นายธนิตได้ตกลงลดค่าเช่าซื้อที่ค้างให้จำเลยที่ 1 คงเหลือเป็นเงิน 270,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยึดรถยนต์คันพิพาทไปจากจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อ ปัญหาประการแรกที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า นายธนิตมีอำนาจลดค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือมอบอำนาจนายธนิตมีอำนาจเต็มในการขายรถยนต์ให้เช่าซื้อรถยนต์ตลอดจนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ อำนาจเช่นนี้ย่อมหมายความรวมถึงอำนาจในการลดราคาขายหรือราคาเช่าซื้อหรือลดค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระด้วย ดังนั้นการที่นายธนิตลดค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมดลงคงเหลือ 270,000 บาทให้จำเลยที่ 1 นั้น จึงเป็นการกระทำตามที่ได้รับมอบอำนาจมาจากโจทก์เมื่อนายธนิตลดค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ชำระให้โจทก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว โจทก์หามีสิทธิยึดรถยนต์คันพิพาทและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่นายธนิตกับจำเลยที่ 1 ตกลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขค่าเช่าซื้อที่ค้างไม่ผูกพันโจทก์เพราะการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อนั้น เห็นว่า ข้อสัญญาใด ๆ ที่คู่กรณีได้ทำขึ้นคู่กรณีสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขและตกลงทำข้อสัญญาใหม่ได้เมื่อข้อสัญญาที่ทำขึ้นใหม่นั้นไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สำหรับคดีนี้ นายธนิตผู้แทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงลดค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อทั้งหมดที่ค้างชำระแล้วเท่ากับคู่กรณีได้ตกลงลดค่าเช่าซื้อให้แก่กันโดยไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อสัญญาเดิมที่ให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วใช้ข้อสัญญาใหม่ดังกล่าวมานั่นเอง ข้อสัญญาใหม่นี้มีผลผูกพันคู่กรณีเพราะเป็นข้อสัญญาที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดราคารถยนต์เพียง 300,000 บาท ไม่ถูกต้องเพราะความจริงรถยนต์ในวันละเมิดมีราคา 573,300 บาทนั้น เห็นว่าปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การและมิได้บรรยายไว้ในคำฟ้องแย้งว่ารถยนต์คันพิพาทมีราคาเท่าไร ทั้งคำขอท้ายคำฟ้องแย้งก็มิได้ระบุว่าหากโจทก์คืนรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ก็ขอให้โจทก์ใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน573,300 บาท ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้จำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ8,000 บาท สูงเกินไป หากเสียจริงก็ไม่เกินเดือนละ 3,000 บาทและที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 น้อยเกินไป จำเลยที่ 1 ควรที่จะได้รับค่าเสียหายเดือนละ 21,500 บาท ซึ่งเท่ากับค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระในแต่ละงวดนั้น เห็นว่า ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าค่าเสียหายที่แท้จริงนั้นมีจำนวนเท่าใด คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1ได้รับความเสียหายเท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนให้เห็นค่าเสียหายที่แท้จริง ศาลจึงจำต้องกำหนดค่าเสียหายให้ตามที่เห็นสมควร คดีนี้ค่าเช่าซื้อที่จะต้องชำระในแต่ละงวดเป็นเงิน21,500 บาท เงินจำนวนนี้เป็นเงินค่ารถยนต์ที่เช่าซื้อและค่าเช่ารวมอยู่ด้วย เงินค่าเช่านี้ถือว่าเป็นค่าเสียหายที่ฝ่ายที่ใช้รถยนต์จะต้องชำระให้แก่เจ้าของรถยนต์ เมื่อไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเงินค่าเช่ามีจำนวนเท่าไร ศาลย่อมกำหนดค่าเช่าหรือค่าเสียหายนี้ได้ตามที่เห็นสมควรที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เป็นเงินเดือนละ 8,000 บาทนั้นเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่สมควร และเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ต่างก็ฟังไม่ขึ้นทั้งสองฝ่ายที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับทั้งสองฝ่ายไม่ชอบ ควรพิพากษาให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า คดีนี้ไม่มีเหตุที่จะคืนค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 โดยกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับทั้งสองฝ่ายนั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น สรุปแล้วฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.