แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินมือเปล่าซึ่งโจทก์จำเลยต่างแย่งกันครอบครองอยู่นั้น จะฟังว่าเป็นของฝ่ายใดโดยเฉพาะไม่ถนัดศาลพิพากษาให้แบ่งคนละครึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า สวนมะม่วงพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยคุมพรรคพวกเข้าไปบุกรุกสับถางและเอาไฟเผา ทำให้ต้นมะม่วงตายและเสียหายคิดเป็นเงิน1,200 บาท ขอให้พิพากษาว่าสวนพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า สวนพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยถางป่าแล้วเอาไฟเผาต้นมะม่วงเหี่ยวแห้งไป 4-5 ต้น แต่เป็นมะม่วงของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่า สวนพิพาทเป็นของจำเลยต้นมะม่วงที่ถูกไฟเผาเป็นมะม่วงของจำเลย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยต่างครอบครองที่พิพาทมาด้วยกันและข้อเท็จจริงไม่ได้ความชัดว่า ใครครอบครองตอนไหนเป็นส่วนสัด จึงพิพากษาให้โจทก์จำเลยได้สิทธิคนละครึ่ง
โจทก์จำเลยต่างฎีกาขอให้เป็นสินธิของตนทั้งแปลง โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรับรอง
ศาลฎีกาพิจารณาสำนวนแล้ว ปรากฏว่า คู่ความสืบพยานเถียงกัน พยานฝ่ายโจทก์ว่าเดิมเป็นที่นายเกิด แล้วตกทอดมาถึงโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองตลอดมา ฝ่ายจำเลยก็สืบว่าเดิมเป็นของนายสิน นายสินยกให้จำเลยเพราะเป็นที่ดินไม่ดี
พิจารณาคำพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เห็นว่า แม้ฝ่ายจำเลยจะมีพยานสืบประกอบว่า ได้ใช้สิทธิครอบครองหวงแหนที่พิพาทมาเช่นเคยไปร้องต่อผู้ใหญ่บ้านเมื่อมีผู้เข้ามาทำในที่ก็ดี แต่คดีคงได้ความชัดว่า ที่แปลงนี้ได้ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง ฝ่ายโจทก์ก็ปรากฏว่าได้เข้าทางทำในที่เหมือนกันเป็นการแย่งกันครอบครอง ฉะนั้นจะฟังว่าเป็นของฝ่ายใดโดยเฉพาะไม่ถนัดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งคนละกึ่ง จึงไม่มีเหตุที่ศาลนี้จะพึงแก้ไข
เหตุนี้จึงพิพากษายืน ค่าธรรมเนียมเป็นพับทั้ง 2 ฝ่าย