แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์อย่างสิ้นเชิงว่าไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ตามสัญญาหรือไม่ แม้ศาลล่างจะรับวินิจฉัยในประเด็นนี้ให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินที่จ่ายล่วงหน้าเป็นค่าซื้อของส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าของที่จำเลยส่งมอบแล้วคืน มีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่กรณีตามมาตรา 165 (1) ซึ่งมีอายุความ 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายใบยาสูบแห้งกับโจทก์โดยตกลงว่าจำเลยจะขายใบยาสูบแห้งในฤดูกาลผลิตปี 2522 ถึง 2523ให้แก่โจทก์ และโจทก์จะจ่ายเงินทดรองเป็นค่าซื้อใบยาสูบแห้งให้แก่จำเลยล่วงหน้า เมื่อจำเลยนำใบยาสูบแห้งมาส่งมอบแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว โจทก์มีสิทธิหักเงินค่าใบยาสูบใช้หนี้เงินทดรองที่จำเลยรับไปได้ทันที จำเลยได้รับเงินทดรองล่วงหน้าจากโจทก์ และจำเลยได้นำใบยาสูบแห้งส่งมอบให้โจทก์หลายครั้งแล้วผิดนัดมิได้ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน406,561.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน185,714.40 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันสัญญาท้ายคำฟ้องทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2522 ซึ่งตามสัญญาจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤษภาคม 2523 แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติตามข้อสัญญาต่อกันเลย เพราะฉะนั้นสัญญาจึงไม่มีความผูกพันตามกฎหมาย จำเลยไม่เคยได้รับเงินตามสัญญา โจทก์อ้างว่าได้จ่ายเงินทดรองค่าใบยาสูบแห้งให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2522 มูลหนี้ที่โจทก์เรียกร้องจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 185,714.40 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันที่ 15 มิถุนายน 2526จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 กับโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 กับโจทก์จริง ที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าวนั้น เห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์อย่างสิ้นเชิงว่าไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องกับโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ แต่ไม่ได้รับเงินตามสัญญา ฉะนั้น เมื่อวินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ตามสัญญาแล้วหรือไม่ แม้ศาลล่างจะรับวินิจฉัยในประเด็นนี้ให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 (1) แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีตามมาตราดังกล่าวเป็นเรื่องพ่อค้า ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้เป็นช่างฝีมือและผู้ประกอบศิลปะอุตสาหกรรมเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ ทำของและค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปอันเกี่ยวกับการส่งมอบของทำของและดูแลกิจการของผู้อื่นเท่านั้น แต่กรณีของโจทก์เป็นการเรียกเอาเงินที่จ่ายล่วงหน้าเป็นค่าซื้อของส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าของที่จำเลยส่งมอบแล้วคืน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน