คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดไปตามสัญญาประนีประนอมและคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยจำเลยจะโต้เถียงว่าต้องแบ่งแนวเขตเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 โจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินตรงที่ติดต่อกันในประเด็นที่ว่า มีอาณาเขตอยู่ตรงไหน จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าศาลได้พิพากษาชี้ขาดคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 แล้วว่า ให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตจึงเป็นของโจทก์ จำเลยเก็บผลมะม่วงนั้นไป ต้องชดใช้ค่าผลมะม่วงให้โจทก์ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๙๕/๒๕๑๐ ต่อศาลจังหวัดราชบุรีว่าจำเลยได้นำช่างแผนที่สำนักงานที่ดินบุกรุกเข้าปักหลักเขตในที่ดินสวนของโจทก์ โฉนดที่ ๗๖๕๘ ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งติดต่อกับสวนของจำเลย ในระหว่างพิจารณาของศาลโจทก์กับจำเลยประมูลเก็บผลมะม่วง ๑๒ ต้นในที่ดินพิพาทสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จำเลยประมูลได้โดยยอมให้เงิน ๑,๔๐๐ บาทแก่โจทก์ในเมื่อคดีถึงที่สุด ถ้าหากต้นมะม่วงอยู่ในที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงเป็นเขตคดีถึงที่สุดแล้ว ต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตนั้นจึงเป็นของโจทก์ โจทก์ได้เสนอคำร้องต่อศาลให้เรียกจำเลยมาสอบถามและชดใช้ราคาผลมะม่วงที่จำเลยเก็บไปใน พ.ศ. ๒๕๑๐ ตามที่ตกลงกันไว้ แต่โดยเหตุที่มิได้ตกลงกันในสัญญาประนีประนอม ศาลจึงมีคำสั่งไม่บังคับจำเลยตามคำร้องนั้น ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินค่ามะม่วง ๒ ปี ๒,๘๐๐ บาทให้โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงดังกล่าวย่อมทำให้ข้อพิพาทในเรื่องประมูลเก็บผลมะม่วงซึ่งมีอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือจะมีขึ้นต่อไปย่อมระงับสิ้นไป โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเรื่องประมูลเก็บผลมะม่วงซึ่งระงับสิ้นไปแล้วมารื้อร้องฟ้องจำเลยได้อีก จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้รับฟ้องโจทก์ไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแพ่งแดงที่ ๒๙๕/๒๕๑๐ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดไปตามสัญญาประนีประนอมและคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง ๑๒ ต้น เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลย จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าต้องแบ่งแนวเขตเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งแดงที่ ๒๙๕/๒๕๑๐ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีแพ่งแดงที่ ๒๙๕/๒๕๑๐ โจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินตรงที่ติดต่อกันในประเด็นที่ว่า มีอาณาเขตอยู่ตรงไหน จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าศาลได้พิพากษาชี้ขาดคดีแพ่งแดง ๒๙๕/๒๕๑๐ แล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง ๑๒ ต้นเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตจึงเป็นของโจทก์ จำเลยเก็บผลมะม่วงนั้นไปต้องชดใช้ค่าผลมะม่วงให้โจทก์ ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีแพ่งแดงที่ ๒๙๕/๒๕๑๐ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๔๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษายืน

Share