แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ได้ความว่าโจทก์หาว่าจำเลยสมคบกันลักเกี่ยวข้าวในนาของผู้เสียหายหายไปแต่ปรากฏว่านาที่จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวไปเป็นนามือเปล่า ผู้เสียหายถือว่าเป็นของตนโดยได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดาผู้เสียหายและพรรพวกได้ทำมา ฝ่ายจำเลยก็ถือว่าเป็นของตนโดยได้ทำนิติกรรมที่อำเภอซื้อมาจากพวกจำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่ายจะได้ทำนารายนี้ตรงไหนและจะล้ำเหลื่อมกันอย่างไรไม่ได้ความชัด พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวต่างก็แย่งกันเก็บเกี่ยวและไปร้องต่อเจ้าพนักงานว่าอีกฝ่ายหนึ่งลักข้าวของตน เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตลักเกี่ยวข้าวไปตามฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องแก้ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๗ ธ.ค.๙๖ เวลากลางวันจำเลยที่ ๑ ถึง ๖ สมคบกันลักเกี่ยวข้าวในนาของนายเอียบ มีแก้วไปเป็นข้าวฟ่อน ๒ เกวียน ราคา ๒๐๐ บาท และวันที่ ๒๐ เดือนเดียวกันเวลากลางวันจำเลยที่ ๑๓ ถึง ๑๕ มีปืนและเคียวเข้าไปลักเกี่ยวข้าวในนาของนายเอียบไปเป็นจำนวนข้าวฟ่อน ๑๒ เกวียนราคา ๑๓๐๐ บาท เหตุเกิดที่ตำบลห้วยเหนือ จังหวัดศรีษะเกษ ขอให้ลงโทษ
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้กรรมสิทธิ์จำเลยที่ ๓,๔,๕,+ และ ๑๕ ว่าจำเลยที่ ๒ ขอแรงไปเก็บเกี่ยว จำเลยนอกนั้นมิได้เกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑,๒,๓,๔ กระทำผิดมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๓ จำคุกคนละ ๖ เดือนและร่วมกันใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย ๑,๕๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๕ ถึง ๑๕ ให้ยกข้อหาโจทก์ปล่อยตัวไป
จำเลยที่ ๑,๒,๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑,๒,๓,๔
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีนี้ทางพิจารณาได้ความว่านารายนี้เป็นที่มือเปล่า ฝ่ายผู้เสียหายถือว่าเป็นของตนโดยได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ ผู้เสียหายและนายออมน้องชายได้ทำนามา ฝ่ายจำเลยที่ ๒ ก็ถือว่าเป็นนาของตนโดยได้ทำนิติกรรมที่อำเภอซื้อมาจากจำเลยที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ เป็นเงิน ๒๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๓,๔ ทำนาได้ข้าวแบ่กัน ทั้งสองฝ่ายได้ทำนารา++นี้ตรงไหนและเหลื่อมล้ำกันอย่างไรไม่ได้ความชัดแต่พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวต่างก็แย่งกันเก็บเกี่ยวและไปร้องต่อเจ้าพนักงานว่าอีกฝ่ายหนึ่งลักข้าวของตนซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่โจทก์ฎีกามานั้นมิได้มีเจตนาทุจริตลักทรัพย์รายนี้ดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น.
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.