คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การพยานชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่าเมื่อไม่ได้ตัวผู้ให้การมาเบิกความที่ศาล เพราะตายเสียก่อน ก็อาจใช้ได้แต่มีน้ำหนักน้อย และใช้เป็นคำประกอบคำเบิกความของพยานอื่นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2497 เวลากลางวัน (ตรงกับขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3) จำเลยใช้ปืนเป็นศัสตราวุธยิงนายโกด เลาะปากแก 2 นัด หากแต่มีเหตุพ้นวิสัยของจำเลยจะป้องกันได้มาขัดขวางเสีย โดยนายโกด เลาะปากแกวิ่งหนี กระสุนปืนถูกที่หลังรักแร้หลังแขนทะลุออกหน้าแขน ถึงบาดเจ็บโลหิตไหล ปรากฏตามรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงฆ่านายโกด เลาะปากแก ไม่สำเร็จเหตุเกิดที่ตำบลเขาไชนสน อำเภอเขาไชยสน จังหวัดพัทลุง

ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60 และขอให้เอาโทษที่ศาลรอการลงโทษไว้มาลงแก่จำเลย และขอให้ทำโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาที่ 232/2497

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ 273/2497 และรับในข้อเคยต้องโทษ

ศาลจังหวัดพัทลุงพิจารณาแล้ว เห็นว่า เมื่อถ้อยคำของนายสุขประจักษ์พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อฟังเสียแล้ว คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยได้ฝ่ายจำเลยมีพยานฐานที่มั่นคงอยู่ พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสุขเห็นจำเลยในระยะใกล้ ๆ และไม่มีสาเหตุต่อกัน ทั้งนายโกดได้ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนยิงในวันเกิดเหตุนั้นเอง ฟังได้ว่าจำเลยยิงนายโกดจริงตามฟ้อง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่พอฟังหักล้างพยานโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60 ให้จำคุก 10 ปีให้เอาอาญาที่รอไว้ 6 เดือน มาลงแก่จำเลยด้วย รวมเป็นโทษจำคุก 10 ปี 6 เดือน ขณะพิพากษาคดีนี้ ยังไม่ทราบว่าคดีดำที่ 273/2498 ที่จำเลยถูกฟ้องอยู่นั้น ได้พิพากษาแล้วหรือยัง และพิพากษาให้ลงโทษหรือยกฟ้อง จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ ให้ยกคำขอนั้นเสีย

จำเลยฎีกาว่า ไม่ควรเชื่อคำนายสุขและคำให้การชั้นสอบสวนของนายโกดเปรียบเสมือนพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนัก ควรยกฟ้องโจทก์

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว ทางพิจารณา โจทก์นำสืบว่า เมื่อนายโกดถูกยิงแล้วยังไม่ตาย ขณะคดีกำลังดำเนินอยู่นายโกดแจ้งต่อนายจรัส ปิยะกุล นายอำเภอ 3 ครั้งว่านายคลิ้งน้องชายจำเลยไปขู่ว่าไม่ให้มาเป็นพยาน ถ้ามาเบิกความเอาเรื่องจะต้องตาย ก่อนนายโกดเบิกความเป็นพยาน 3 วันได้ถูกยิงตายได้จับนายคลืนมาฟ้องศาลคนหนึ่งแล้วนายคลิ้งมีส่วนร่วมด้วยแต่ยังจับตัวไม่ได้

โจทก์คงมีนายสุข วุ่นแดง พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุมาให้การว่าวันที่โจทก์หา เวลาประมาณ 16.00 น. นายสุขกับนายโกดผู้เสียหายหาบข้าวเปลือกจากไร่จะกลับบ้าน เป็นเวลาเย็นแล้ว นายสุขหาบเดินนำหน้า นายโกดหาบเดินตามหลังพบนายคล้อย จำเลยเดินสวนทางมาจำเลยพูดกับนายโกดว่า”พบกันแล้วนายโกด” นายโกดว่า “เอากัน” ขณะนี้จำเลยและนายโกดหยุดพูดกันห่างกันวาเศษ นายสุขยืนห่างจำเลย 1 แขน อยู่ระหว่างจำเลยและนายโกด ทันใดที่นายโกดตอบนายโกดชักมีดยาวคืบเศษไม่ถึงครึ่งออกมาถือ จำเลยชักปืนสั้นคืบเศษออกจากเอวจำเลย ๆ ยกขึ้นทำท่าจะยิงนายโกด นายสุขกลัววิ่งหนีไปราว 10 วาได้ยินเสียงปืนดัง 2 นัด รุ่งขึ้นเช้านายสุขเดินทางไปหาบข้าวได้พบนายพ่วงผู้ใหญ่บ้าน ๆ ว่า จำเลยยิงนายโกด นายสุขเลยเล่าเรื่องให้ฟังว่าได้เห็นอย่างเดียวกับที่นายสุขเบิกความ

นายพ่วง จันทโชติ ผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่า เมื่อได้รับแจ้งความแล้ว ได้ไปสอบถามนายโกดว่า “ใครยิง” นายโกดบอกว่า นายคล้อยยิงที่ป่าควนยูง ขณะกลับจากหาบข้าวมากับนายสุข เนื่องจากทะเลาะกันก่อนเกิดเหตุ 3-4 วันแล้ว พอเห็นกันนายคล้อยพูดว่า “พบกันแล้วเอากันแหละ” นายโกดตอบว่า “เอาก็เอา” วางหาบลงชักมีดออกจำเลยชักปืน นายโกดว่า มีปืนไม่สู้และออกวิ่งหนี นายคล้อยยิงตามหลัง 2 นัด ถูกนัดเดียว นายพ่วงตรวจดู เห็นมีแผลถูกยิงที่ต้นแขนซ้ายด้านหลัง 1 แผล กระสุนทะลุออกต้นแขนซ้ายด้านหน้า

นายจรัส ปิยะกุล นายอำเภอเบิกความว่า เป็นผู้สอบสวนนายโกด ๆ ให้การเป็นใจความอย่างเดียวกับนายโกดได้แจ้งไว้กับนายพ่วงผู้ใหญ่บ้าน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นอื่นใดอีก

ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า นายถาวร รองเลื่อน ลูกผู้พี่จำเลยได้สั่งให้จำเลยไปที่บ้านแต่วันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 3 ปีนี้ (ก่อนเกิดเหตุ 3 วัน) เนื่องจากพยานถูกไม้ตีขาหัก จำเลยได้อยู่กับพยานตลอดเวลาจนกระทั่งแรม 2 ค่ำ เดือนนั้น บ้านพยานห่างที่เกิดเหตุทางเดินครึ่งวัน

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำพยานโจทก์จำเลยแล้ว นายสุขเป็นพยานสำคัญของโจทก์ ขั้นต้นนายโกดมีบาดแผลถูกยิงจริง เพราะนายพ่วงผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอได้เห็นบาดแผลที่ถูกยิงนั้นนายโกดได้อ้างแก่ผู้ใหญ่บ้านว่า นายสุขได้ไปด้วยขณะที่ผู้ใหญ่บ้านไปสอบถามหลังจากเกิดเหตุแล้วเป็นเวลาราวชั่วโมงเดียว จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยว่านายโกดจะปั้นพยานขึ้นในปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้นอกจากนั้น รุ่งเช้าเมื่อนายสุขเดินผ่านไปหาบข้าวได้แจ้งเรื่องแก่ผู้ใหญ่บ้านอย่างเดียวกับที่นายโกดรู้เห็น ศาลฎีกาเห็นว่า นายสุขได้อยู่ในที่เกิดเหตุและรู้เห็นเรื่องนี้จริง ถ้าเป็นพยานที่รู้เกินความจริงแล้วควรจะเบิกความเลยไปว่าเห็นจำเลยเป็นผู้ยิงนายโกดแต่นี่พยานเบิกความเท่าที่เห็น คือ เห็นนายโกดชักมีด จำเลยชักปืนออกมา พยานกลัวเลยวิ่งหนี ไม่ได้กล่าวหาใคร

ใครจะเป็นผู้ยิงนายโกดนั้น นายโกดได้ตายไปแล้ว แต่ได้ให้การชั้นผู้ใหญ่บ้านถามปากคำและชั้นสอบสวนไว้ว่า จำเลยเป็นผู้ยิงทางหลังเมื่อนายโกดวิ่งหนี และนายสุขได้ยินเสียงปืนเมื่อวิ่งไปห่างจากคนทั้งสองประมาณ 10 วา ตามพฤติการณ์จำเลยเป็นผู้ถือปืนและได้จ้องจะยิงนายโกด และในเวลาติดต่อกันนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น นายโกดว่าถูกยิงจากข้างหลัง เมื่อผู้ใหญ่บ้านตรวจดูบาดแผล ๆ นั้นเป็นบาดแผลถูกยิงจากทางหลังถูกแขนด้านหลังทะลุแขนด้านหน้าต้องกับคำนายโกดว่า ถูกยิงจากด้านหลังขณะวิ่งหนี เมื่อแจ้งความนายโกดได้ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ยิง กรณีและเหตุผลแวดล้อมแสดงว่าจำเลยเป็นผู้ยิงนายโกด

จำเลยอ้างว่า คำให้การของนายโกดชั้นสอบสวนเป็นแต่พยานบอกเล่า ไม่ควรนำมาลงโทษจำเลย คำพยานชั้นสอบสวนนี้จะเป็นพยานบอกเล่าก็ดี มิใช่ว่าจะใช้เป็นพยานไม่ได้เสียเลย เมื่อไม่ได้ตัวผู้ให้การมาเบิกความที่ศาลเพราะความตายก็อาจใช้ได้แต่มีน้ำหนักน้อย เฉพาะในกรณีนี้คำของนายโกดใช้เป็นคำประกอบคำเบิกความของนายสุขได้เป็นอย่างดีว่า จำเลยเป็นผู้ยิงนายโกด

พยานฐานที่ของจำเลย ดูเป็นการเผอิญมากที่นายถาวรจะเรียกจำเลยไปเนื่องจากเกิดการขาหัก ไม่มีน้ำหนักจะหักล้างพยานโจทก์ได้

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย

Share