คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2348/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกของร.ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทอันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่1และร.จากชื่อร.มาเป็นของจำเลยที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกและจำเลยที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกของร.ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่1เป็นการโอนทรัพย์สินของจำเลยที่1รวมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่งและเมื่อเป็นการโอนภายใน3ปีก่อนจำเลยที่1ถูกฟ้องให้ล้มละลายต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา114แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนรายนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเฉพาะจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2533 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2534 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางรัตนา ก้องกิตติ ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 50568 ถึง 50570, 50577 ถึง50585 และ 28200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลารวม 13 แปลง ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนางรัตนาให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในราคา 200,000 บาท อันเป็นการกระทำในระหว่าง 3 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายโดยไม่สุจริตและต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2533 ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่รับโอนเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 50577 ถึง 50585 และ 25200 รวม10 แปลง ดังกล่าว ไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้สินทุกชนิดของผู้คัดค้านที่ 1 ภายในวงเงิน 1,000,000 บาท ซึ่งได้กระทำขึ้นหลังจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 50568 ถึง 50570, 50577 ถึง 50585 และ 25200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 50577 ถึง50585 และ 28200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ตามมาตรา 114 และ 116แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ก็ให้ชดใช้ราคาทรัพย์พิพาทเป็นเงิน 2,431,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้าน ที่ 1 ไม่ยื่น คำคัดค้าน
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลง ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกของนางรัตนา ก้องกิตติ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนางรัตนา มิใช่สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 1มาก่อน จึงไม่รู้ถึงภาระหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 รับจำนองทรัพย์พิพาทไว้โดยสุจริต เปิดเผย และเสียค่าตอบแทนขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 50568 ถึง50570, 50577 ถึง 50585 และ 25200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา เฉพาะส่วนของ จำเลยที่ 1 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 50577 ถึง50585 และ 28200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114, 116 และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน 1,215,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องเพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลาย
ผู้คัดค้าน ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้คัดค้าน ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางรัตนา ก้องกิตติระหว่างสมรสนางรัตนาได้ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 50568 ถึง 5057050577 ถึง 50585 และ 25200 ตำบลคอหงษ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวม 13 แปลง ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2530 นางรัตนาถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางรัตนา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางรัตนาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2530จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้ง13 แปลง จากชื่อนางรัตนามาเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกวันที่ 17 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลงดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในราคา200,000 บาท วันที่ 27 มิถุนายน 2533 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านที่ 2 ในวงเงิน 1,000,000 บาท และนำที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 50577 ถึง 50585 และ 28200 รวม 10 แปลงจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าววันที่ 7 สิงหาคม 2532 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม2533 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2534 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 สอบสวนแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย จึงขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ประการแรกว่าผู้ร้องมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทรายนี้ได้หรือไม่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่าเมื่อนางรัตนาถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาททั้ง13 แปลง ย่อมตกเป็นมรดกของนางรัตนา จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางรัตนาย่อมมีสิทธิจัดการทรัพย์มรดกรายนี้ได้ และการที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก็เพื่อตีใช้หนี้เงินกู้ที่นางรัตนากู้ยืมไปจากผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่ในฐานะส่วนตัวของจำเลยที่ 1ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทได้นั้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 และนางรัตนาเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลง ดังกล่าวนางรัตนาได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1)ซึ่งสามีภริยาต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่ง การที่จำเลยที่ 1ขายที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลง ทั้งส่วนที่เป็นมรดกของนางรัตนาและส่วนที่เป็นของจำเลยที่ 1 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการโอนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 รวมอยู่ด้วยครึ่งหนึ่งและเป็นการโอนภายใน3 ปี ก่อนจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องให้ล้มละลายต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 114แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนรายนี้ได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลง มาจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงและเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับจำเลยที่ 1 และนางรัตนาเป็นอย่างดีผู้คัดค้านที่ 1 อยู่ในฐานะที่จะรู้ดีถึงสภาวะหนี้สินของนางรัตนาและจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่แล้วในขณะที่ผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาททั้ง 13 แปลง การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นการรับโอนที่ดินพิพาทภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทนผู้ร้องจึงขอให้เพิกถอนการโอนรายนี้ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114
พิพากษายืน

Share