แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เทศบาลโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเลินเล่อ โดยจำเลยเป็นนิติกร 4 ย่อมรู้ดีว่าถ้ามิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นอันขาดอายุความ เมื่อจำเลยมีหน้าที่จัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ และประสานกับพนักงานอัยการในการส่งเอกสารเพิ่มเติมแล้วนำพยานที่เกี่ยวข้องไปสอบข้อเท็จจริงและรับรองเอกสาร จำเลยกลับปล่อยปละละเลยโดยไม่รีบดำเนินการจัดหา เร่งรัด และติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ไปส่งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีแก่ผู้รับประเมินซึ่งค้างชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี รวมค่าภาษีและเงินเพิ่มเป็นเงิน 429,000 บาท จนเป็นเหตุให้คดีขาดอายุความ ตามพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวพอแปลความได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแล้ว ทั้ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง เป็นเพียงบทบัญญัติให้สิทธิหน่วยงานของรัฐเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐได้ มิใช่บทบังคับโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้องออกคำสั่งทางปกครองให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนเสียก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องจำเลย ดังนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินภายในเขตเทศบาลตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ตำแหน่งนิติกร 4 กองวิชาการและแผนงาน มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ ในการดำเนินคดี รวบรวมพยานหลักฐาน เร่งรัด ติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ และมีหน้าที่ประสานกับพนักงานอัยการในการส่งเอกสารเพิ่มเติมและนำพยานที่เกี่ยวข้องไปสอบข้อเท็จจริงและรับรองเอกสาร เมื่อระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2536 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2541 จำเลยซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ ส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกดำเนินคดีแก่ผู้รับประเมินซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวจำนวน 10 คูหา ตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 209/47 – 56 ถนนบรมไตรโลกนารถ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก กรณีผู้รับประเมินค้างชำระภาษีและเงินเพิ่มเป็นเงิน 429,000 บาท แต่จำเลยปล่อยปละละเลยและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยไม่รีบดำเนินการจัดหา เร่งรัด ติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ส่งไปให้พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกดำเนินคดีแก่ผู้รับประเมินเจ้าของตึกแถวดังกล่าว จนเป็นเหตุให้คดีขาดอายุความ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 429,000 บาท โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้รายงานผลการสอบสวนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2542 โดยเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 429,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีหน้าที่และไม่เคยได้รับแต่งตั้งให้จัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ ในการดำเนินคดี รวบรวมพยานหลักฐาน เร่งรัด ติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ และเป็นผู้ประสานงานกับพนักงานอัยการในการส่งเอกสารเพิ่มเติมและนำพยานที่เกี่ยวข้องไปสอบข้อเท็จจริง และรับรองเอกสารตามฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ปฏิบัติงานทางกฎหมายเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย สอบสวน ตรวจพิจารณา ดำเนินการเกี่ยวกับวินัยพนักงานเทศบาลและการร้องทุกข์หรืออุทธรณ์ สอบสวน และเปรียบเทียบการกระทำที่ละเมิดเทศบัญญัติ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 คือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่รับแบบแสดงรายการทรัพย์สิน ประเมินภาษีและพนักงานเก็บภาษีซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่จัดเก็บ รับชำระ รวมทั้งเร่งรัดให้ชำระภาษีตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2536 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2541 นั้น จำเลยไม่ได้ปล่อยปละละเลยไม่สนใจในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่เคยไม่เร่งรีบดำเนินการจัดหา เร่งรัด ติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารต่างๆ ส่งไปให้พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกดำเนินคดีฟ้องผู้รับประเมินจนเป็นเหตุให้คดีขาดอายุความ หากจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็รับผิดเพียง 1,000 บาท การที่โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยเพียงคนเดียวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุมและคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มีนาคม 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าอุทธรณ์ของจำเลยมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า (ที่ถูกพิพากษากลับ) ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 บัญญัติไว้ในมาตรา 8 วรรคหนึ่งว่า “ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “.ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา 8 มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” และมาตรา 12 บัญญัติว่า “ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐได้ใช้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา 8 หรือในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 10 ประกอบกับมาตรา 8 ให้หน่วยงานของรัฐที่เสียหายมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นชำระเงินดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องบังคับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานกระทำละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเลินเล่อ อ้างว่าจำเลยเป็นนิติกร 4 เป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย ย่อมรู้ดีว่าถ้ามิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ เมื่อจำเลยมีหน้าที่จัดเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ และมีหน้าที่ประสานกับพนักงานอัยการในการส่งเอกสารเพิ่มเติมแล้วนำพยานที่เกี่ยวข้องไปสอบข้อเท็จจริงและรับรองเอกสารจำเลยกลับปล่อยปละละเลยโดยไม่รีบดำเนินการจัดหา เร่งรัด และติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ไปส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกดำเนินคดีแก่ผู้รับประเมินที่เป็นเจ้าของตึกแถวจำนวน 10 คูหา ตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 209/47 – 56 ถนนบรมไตรโลกนารถ ตำบลในเมือง อำเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งค้างชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2527 ถึง 2529 รวมค่าภาษีและเงินเพิ่มเป็นเงิน 429,000 บาท จนเป็นเหตุให้คดีขาดอายุความตามพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวพอแปลความได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องถือว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ไปด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแล้ว ทั้งตามมาตรา 8 วรรคหนึ่งดังกล่าวข้างต้นก็เป็นเพียงบทบัญญัติให้สิทธิหน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐได้ จึงมิใช่บทบังคับโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้องออกคำสั่งทางปกครองให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนเสียก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องจำเลยแต่อย่างใด ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนปัญหาข้อสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์จำนวน 429,000 บาท หรือไม่ นั้น ปัญหานี้แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยังไม่ได้วินิจฉัยเนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้เสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษาใหม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยเป็นการกระทำละเมิดแก่โจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน 429,000 บาท เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 บัญญัติไว้ในมาตรา 8 วรรคสี่ว่า “ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น” คดีนี้โจทก์ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่และสอบวินัยตามเอกสารหมาย จ.47 โดยมีรายละเอียดให้ผู้ที่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์รวมทั้งสิ้น 26 คน เพราะการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคนและหลายฝ่าย เฉพาะส่วนของจำเลยคณะกรรมการสอบสวนกำหนดให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 25,000 บาท โดยโจทก์มิได้โต้แย้งหรือคัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 25,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ