แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามกับพวกนั่งอยู่ที่รถสามล้อในบริเวณถนนซึ่งเป็นบริเวณที่มีหญิงมาทำการเตร็ดเตร่เพื่อค้าประเวณี ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 23 นาฬิกา มีชายคนหนึ่งเข้ามาพูดจาและพาพวกจำเลยคนหนึ่งออกไปนานราว 30 นาที พวกจำเลยดังกล่าวจึงได้กลับมา จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำการเตร็ดเตร่หรือคอยอยู่ตามถนนในลักษณะอาการที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องการติดต่อในการค้าประเวณี.
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2527 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสามกระทำการเตร็ดเตร่คอยอยู่ตามบริเวณถนนอู่ทอง ซึ่งเป็นที่สาธารณสถานชักชวนชายให้ร่วมประเวณีกับจำเลยทั้งสาม อันเป็นการเรียกร้องติดต่อเพื่อค้าประเวณีซึ่งเป็นการเปิดเผยน่าอับอายเป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่สาธารณชนขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503มาตรา 4, 5 (1) (2)
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 4, 5 (1) (2) ให้ปรับคนละ 1,000บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…พยานโจทก์ทั้งสองพบเห็นจำเลยทั้งสามกับพวกนั่งอยู่ที่รถสามล้อในบริเวณถนนอู่ทองเวลาประมาณ23 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาดึกมากแล้วและในบริเวณแถวนั้นเป็นที่ที่มีหญิงมาทำการเตร็ดเตร่เพื่อค้าประเวณีตามที่พยานโจทก์ได้รับคำร้องเรียนจากประชาชนและจากการสืบสวนได้ความมา ขณะที่จำเลยกับพวกนั่งอยู่ที่รถสามล้อนั้นมีชายคนหนึ่งเข้ามาพูดจาและพาพวกจำเลยคนหนึ่งออกไปนานราว 30 นาที พวกจำเลยดังกล่าวจึงได้กลับมา จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามกระทำการเตร็ดเตร่หรือคอยอยู่ตามถนนในลักษระอาการที่เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องการติดต่อในการค้าประเวณี ทั้งจำเลยทั้งสามรับสารภาพต่อผู้จับกุมด้วยข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้องที่จำเลยทั้งสามนำสืบต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสามได้มาพบกันแล้วได้พูดจาคุยกัน จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับไปดำเนินคดี ไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้หักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย…’
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.