คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4056/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนทนายความคนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ตามคำร้อง ของ กรรมการชุดใหม่ผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 คัดค้านการแต่งตั้งทนายความคนใหม่ของจำเลยที่ 1 หรือคัดค้านว่าผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1ไม่ใช่กรรมการของจำเลยที่ 1 หรือคัดค้านว่าหนังสือรับรองแนบท้ายคำร้องไม่ถูกต้อง ทนายความคนใหม่ของจำเลยที่ 1จึงเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งของศาล ตามหนังสือแต่งตั้งทนายความจำเลยที่ 1 ให้อำนาจทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางจำหน่ายสิทธิเช่น การประนีประนอมยอมความ การที่ทนายความของจำเลยที่ 1ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสองจึงได้กระทำภายในขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 โดยชอบ โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 โอนหุ้นของจำเลยที่ 1ให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และฟ้องจำเลยที่ 3ในฐานะนายทะเบียนหุ้นซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1และอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เป็นการฟ้องขอให้บังคับ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนหุ้นให้แก่โจทก์ทั้งสองและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้วทั้งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 อีกต่อไปโจทก์ทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องร้อง เพื่อบังคับคดีกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 อีก การถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ชอบที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามลงชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1หากจำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม โดยให้ถือว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสามจัดทำใบหุ้นส่งมอบแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสามทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นผู้รับโอนหุ้น แม้จะฟังว่าได้รับโอนหุ้น จำเลยที่ 1ก็ไม่สามารถจะโอนให้ได้เพราะขัดกับข้อบังคับและขัดกับเงื่อนไขในบัตรส่งเสริมของคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า มีการถอดถอนกรรมการชุดเก่าทั้งหมดของจำเลยที่ 1 จะแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่กรรมการชุดใหม่ของจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้าดำเนินคดีแทน ขอถอนทนายความคนเดิมทั้งหมด ศาลชั้นต้นอนุญาตโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 2 ที่ 3 คัดค้านว่าโจทก์ทั้งสองจะสมยอมกับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอมให้ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ที่ 3 ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ที่ 3ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่า เมื่อวันที่19 กรกฎาคม 2532 นางชนัตถ์ ปิยะอุย และนายวีระวงศ์ จิตต์มิตรภาพได้ยื่นใบแต่งทนายความคนใหม่ของจำเลยที่ 1 พร้อมกับยื่นคำร้องขอถอนทนายความคนเดิมของจำเลยที่ 1 และแต่งตั้งทนายความคนใหม่โดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนแปลงกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท มีการถอดถอนกรรมการเก่าทั้งหมดและแต่งตั้งกรรมการใหม่จำนวน 5 คน กรรมการสองคนลงชื่อร่วมกันมีอำนาจทำการแทนบริษัทได้ ตามภาพถ่ายหนังสือรับรองท้ายคำร้องปรากฏตามหนังสือรับรองว่า นางชนัตถ์ ปิยะอุยและนายวีระวงศ์ผู้ร้องเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสองคนลงชื่อร่วมกันมีอำนาจลงชื่อผูกพันจำเลยที่ 1 ได้ ผู้ร้องทั้งสองจึงมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวว่า เห็นว่าตามหนังสือรับรองจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารทางราชการจึงมีอำนาจกระทำการใด ๆ ในนามของจำเลยที่ 1 ได้โดยกรรมการทั้งสองคนร่วมกันลงลายมือชื่อ ดังนั้นการถอนทนายความคนเดิมจึงมีอำนาจกระทำได้ จึงอนุญาตให้จำเลยที่ 1ถอนทนายความคนเดิมและแต่งตั้งทนายความคนใหม่ได้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้คัดค้านการแต่งตั้งทนายความคนใหม่ของจำเลยที่ 1 หรือคัดค้านว่าผู้ร้องทั้งสองไม่ใช่กรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 หรือหนังสือรับรองแนบท้ายคำร้องไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ดังนั้นนายวัลลภ จรียวัตร์ ทนายความของจำเลยที่ 1 ที่แต่งตั้งโดยนางชนัตถ์และนายวีระวงศ์จึงเป็นทนายความของจำเลยที่ 1โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งของศาลแพ่งตามหนังสือแต่งตั้งทนายความจำเลยที่ 1 ได้ให้อำนาจแก่นายวัลลภทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางจำหน่ายสิทธิ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาหรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ดังนั้น การที่ทนายความของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทั้งสองตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 11 กันยายน 2532จึงได้กระทำภายในขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1โดยชอบ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ขอให้เพิกถอนสัญญายอมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 นั้นเห็นว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 โอนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 110,000 หุ้น ให้แก่โจทก์ที่ 1และจำนวน 473,900 หุ้น ให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยฟ้องจำเลยที่ 2ในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และฟ้องจำเลยที่ 3 ในฐานะนายทะเบียนหุ้นเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ปฏิบัติการชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยินยอมโอนหุ้นพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำร้องและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมโดยชอบตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว โจทก์ทั้งสองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่ของบริษัทจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 อีกต่อไปโจทก์ทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องเพื่อบังคับคดีกับจำเลยที่ 2ที่ 3 อีก การถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของจำเลยที่ 2 ที่ 3 แต่อย่างใด ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่อ้างว่ามีการฟ้องเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของจำเลยที่ 1 ก็ดี การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีและถอนฟ้อง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เสื่อมเสียชื่อเสียงในทางการค้าก็ดี ไม่มีผลเกี่ยวข้องกับคดีนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share