แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 52 วรรคสอง บัญญัติให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าหากวินิจฉัยอุทธรณ์เกินกำหนดจะมีผลเป็นอย่างไร ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ในกำหนด จึงไม่ทำให้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์หมดไป เพียงแต่ผู้อุทธรณ์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ทันทีหลังจากพ้นกำหนดเวลาสามสิบวันโดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามขั้นตอนเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๐ และ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เจ้าพนักงานท้องถิ่นเขตพระโขนงได้มีคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างอาคารและแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครตามลำดับ โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องจึงอุทธรณ์คำสั่งต่อจำเลยทั้งเก้าซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยทั้งเก้าวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ถูกต้อง ทั้งหนังสือแจ้งให้ระงับการก่อสร้างและให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารมีถึงโจทก์ภายหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้พิพากษาว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งเก้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยได้วินิจฉัยอุทธรณ์ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยก่อสร้างอาคารผิดจากแบบที่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้โจทก์แก้ไขและยื่นขออนุญาตให้ถูกต้อง แต่โจทก์มิได้กระทำ กลับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารให้เป็นของนิติบุคคลอาคารชุดโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารพิพาทเมื่อปี ๒๕๒๓ และก่อสร้างเสร็จในปี ๒๕๒๔ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๔ โจทก์ขอจดทะเบียนอาคารดังกล่าวเป็นอาคารชุด โจทก์ขายห้องชุดให้แก่ลูกค้าและจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด ชื่อแกรนด์วิลเฮ้าส์ในปี ๒๕๒๔ ตามเอกสารหมาย จ.๔ ต่อมาวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้าง อ้างว่าก่อสร้างผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาต วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างพ.ศ.๒๕๒๒ และยื่นขออนุญาตให้ถูกต้องภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๕ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๖ประธานคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ตามเอกสารหมาย จ.๖ แล้ววินิจฉัยว่ามีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์เกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้คำสั่งดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้นั้น ปัญหานี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายตั้งประเด็นไว้ในฟ้อง โจทก์มีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ วรรคสอง บัญญัติว่า’ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์แล้วแจ้งคำวินิจฉัยเป็นหนังสือไปยังผู้อุทธรณ์และเจ้าพนักงานท้องถิ่น คำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นที่สุดแต่ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เสนอคดีต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์’ เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวนี้แม้จะได้กำหนดเวลาให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้เสร็จไปโดยเร็ว แต่ก็ไม่ได้บัญญัติว่าหากวินิจฉัยอุทธรณ์เกินกำหนดเวลาดังกล่าวมีผลเป็นอย่างไร ไม่มีสภาพบังคับ จึงไม่ทำให้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์หมดไป เพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้อุทธรณ์มีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ทันที หลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าว โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามขั้นตอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งเก้ามีผลบังคับได้
พิพากษายืน.