คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2340/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามฟ้องโจทก์จะระบุชื่อโจทก์ที่1ว่ากองมรดกห.ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายก็ตามแต่เมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์ที่1โดยตลอดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าบ.ในฐานะผู้จัดการมรดกของห.เป็นผู้ฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของห.ที่บ.เป็นผู้จัดการมรดกดังนั้นการระบุชื่อโจทก์ที่1ดังกล่าวจึงเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำผิดแท้จริงแล้วเท่ากับบ.ฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของห.ถือได้ว่าโจทก์ที่1มีอำนาจฟ้อง จำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองมิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแม้จำเลยจะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 มีนางบุญศรีเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 250 โจทก์ที่ 2เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 437 เมื่อ พ.ศ. 2503 นายเลี่ยงสามีจำเลยและจำเลยได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองให้เข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนและพืชผลทางทิศใต้ของที่ดินโฉนดเลขที่ 250 และ 437นายเลี่ยงและจำเลยปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ที่ 1เนื้อที่ 8 ตารางวา ปลูกพืชผลเนื้อที่ 70 ตารางวา และปลูกบ้านลงในที่ดินของโจทก์ที่ 2 เนื้อที่ 23 ตารางวา และปลูกต้นไม้เนื้อที่ 1 งาน 20 ตารางวา นายเลี่ยงและจำเลยสัญญาว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินเมื่อใดก็จะรื้อถอนทรัพย์สินออกไปทันทีเมื่อนายเลี่ยงตาย โจทก์ทั้งสองให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายเลี่ยงอาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองต่อตั้งแต่ประมาณเดือนพฤษภาคม 2525 ต่อมาโจทก์ทั้งสองต้องการใช้ที่ดินเพื่อทำประโยชน์จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ที่ 1 ไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยกับสามีได้ร่วมกันครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2503จนถึงปัจจุบันนี้ โจทก์ทั้งสองไม่เคยโต้แย้งสิทธิหรือขัดขวางการครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงแต่อย่างใด หลังจากสามีจำเลยถึงแก่ความตาย เมื่อ พ.ศ. 2511 จำเลยคงครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงตลอดมา จำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์จำเลยขอฟ้องแย้งว่าที่ดินทั้งสองแปลงบางส่วนตามที่จำเลยครอบครองตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 250เนื้อที่ 1 งาน 64 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 437 เนื้อที่1 งาน 64 ตารางวา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยละทิ้งที่ดินทั้งสองแปลง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้ตามฟ้องโจทก์จะระบุชื่อโจทก์ที่ 1 ว่า กองมรดกหลวงอนุภาษภูเก็ตการ ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์ที่ 1 โดยตลอดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่า นางบุญศรี ในฐานะผู้จัดการมรดกของหลวงอนุภาษภูเก็ตการเป็นผู้ฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของหลวงอนุภาษภูเก็ตการที่นางบุญศรีเป็นผู้จัดการมรดก ดังนั้น การระบุชื่อโจทก์ที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำผิด แท้จริงแล้วเท่ากับนางบุญศรีฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของหลวงอนุภาษภูเก็ตการถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้ขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง มิได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จำเลยจะครอบครองมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
พิพากษายืน

Share