แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกขับรถแข่งขันในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น โจทก์มิได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบสี่เป็นผู้มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ ที่ศาลล่างทั้งสองให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยทั้งสิบสี่มีกำหนดคนละ 6 เดือน เป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบสี่กับพวกซึ่งหลบหนี และเป็นเยาวชนซึ่งได้แยกดำเนินคดีต่างหากแล้วร่วมกันกระทำความผิดโดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ร่วมกันแข่งรถในทางสาธารณะ ต่างขับรถจักรยานยนต์คนละคันร่วมกับพวกที่หลบหนีไปประมาณ 100 คัน แล่นแข่งขันประลองความเร็วกันไปตามถนนราชพฤกษ์ มุ่งหน้าไปถนนบรมราชชนนี โดยขับแข่งกันในลักษณะเกาะกลุ่มเต็มทางเดินรถด้วยความเร็วสูงและส่งเสียงดังรบกวนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นด้วยความคึกคะนองน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน จำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการแข่งรถในทางโดยส่งเสียงเชียร์สนับสนุนการแข่งขันดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยทั้งสิบสี่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงานจราจร เหตุเกิดที่แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสิบสี่ได้พร้อมยึดรถจักรยานยนต์ ตามบัญชีท้ายฟ้อง ลำดับที่ 1 ถึงที่ 9 ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 86, ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสิบสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (ที่ถูก การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา 160 ทวิ) ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 134 วรรคสอง, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษปรับคนละ 5,000 บาท จำเลยทั้งสิบสี่รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 คนละ 1 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท และปรับจำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 คนละ 2,500 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี โดยให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติคนละ 6 ครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี และให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ภายในกำหนด 2 ปี หากจำเลยทั้งสิบสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยทั้งสิบสี่มีกำหนดคนละ 6 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน เพียงสถานเดียว โดยไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับและไม่คุมความประพฤติ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกคนละ 1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ส่วนจำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกคนละ 1 เดือน และปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 ไว้โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลาที่รอการลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกขับขี่รถแข่งขันในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น ลักษณะของการกระทำความผิดเป็นไปโดยไม่เคารพต่อกฎหมาย และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่ารู้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยที่ 1 หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 1 การใช้ดุลพินิจกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์มิได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบสี่เป็นผู้มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ ที่ศาลล่างทั้งสองให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยทั้งสิบสี่มีกำหนดคนละ 6 เดือน จึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยทั้งสิบสี่มีกำหนดคนละ 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์