แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยฎีกาว่า ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นแล้วนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวไว้แล้วว่า เมื่อขณะยื่นฟ้องโจทก์มีอำนาจฟ้อง แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์จดทะเบียนโอนสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทแก่บุคคลอื่น อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไปและยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สิน รื้อถอนรั้วลวดหนาม สิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 471 และ 472 และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์หรือตัวแทนเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าวโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 195,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี กับค่าเสียหายเดือนละ 25,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท และส่งมอบคืนแก่โจทก์ตามลำดับ
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การแล้วมีคำสั่งว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองไม่แนบเอกสารตามที่กฎหมายต้องการ (ใบมอบอำนาจ) ข้อความที่พิมพ์อักษรไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อ่านแล้วไม่เข้าใจ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงคืนคำให้การไปให้ทำมายื่นใหม่ภายในวันที่ 15 มกราคม 2545 มิฉะนั้นจะไม่รับคำให้การของจำเลยทั้งสอง ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การในวันที่ 15 มีนาคม 2545 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ แต่ต่อมาจำเลยทั้งสองขอถอนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนรั้วลวดหนาม สิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 471 และ 472 และส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 ตุลาคม 2544)จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ตามลำดับ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดเพียงเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การและอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ชำระเกินมา 525 บาท แก่จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองเฉพาะในข้อที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่าเนื่องจากปรากฏจากสารบัญการจดทะเบียนที่ดินพิพาทว่า ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นแล้ว เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวไว้แล้วว่า เมื่อขณะยื่นฟ้องโจทก์มีอำนาจฟ้อง แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์จดทะเบียนโอนสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทแก่บุคคลอื่น อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคำวินิจฉัยเดิม ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา”
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ